“ประยุทธ์” ยันไม่มีผลประโยชน์จัดซื้ออาวุธกองทัพ แจงไม่ได้เอากฎหมาย ตร.- ทหาร ปกป้องตัวเอง ข้องใจม็อบปิดถนนดินแดงล่าจับตน ทำ ปชช.เดือดร้อน ปัดแจกถุงขนม 5 ล.แลกโหวต “โจ้” ร้อนเจอสวน ท้าเอาตำแหน่งเดิมพัน งัดหลักฐานแฉใช้ กมธ.งบเพื่อเคลียร์
วันนี้ (2 ก.ย.) เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงกรณีที่มีการกล่าวพาดพิง ว่า เรื่องเรือดำน้ำพูดมาหลายปีท่านก็ไม่เข้าใจสักที ว่า การทำสัญญาใดๆ ก็ตาม ต้องผ่านการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐ จีนและการซื้ออาวุธจากประเทศจีน ไม่เหมือนประเทศอื่น ประเทศจีนมีสถาบันที่มีบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาลจีนทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดคือ ระบบการทำธุรกิจของประเทศจีน และขึ้นอยู่กับประเทศจีนที่จะให้บริษัทใดเข้ามาเจรจากับรัฐบาลไทย ทั้งนี้ สัญญาการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของแต่ละเหล่าทัพเป็นไปตามขั้นตอน ขออย่ามองว่าอย่ามีการทุจริตกัน ส่วนการจัดหายานยนต์และยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพบก รัฐมนตรีช่วยกลาโหมได้ชี้แจงไปแล้ว มีเอกสารสามารถชี้แจงได้ทุกอย่าง ยืนยันว่าไม่มีการทุจริตและตนไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับใคร หรือจัดคนขึ้นไปเรียกรับผลประโยชน์มาให้กับตน ซึ่งตนพยายามตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ ก็ให้ว่ากันไปตามกระบวนการของศาล ถ้าคิดว่าถ้าคิดว่ามีหลักฐานเพียงพอ ส่วนที่ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย บอกว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นบิดาแห่งเรือดำน้ำ ตนเห็นว่าไม่เหมาะสม เป็นเจตนาเอามาตัดต่อภาพ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ที่ถามว่าตนทำอะไรไปแล้วบ้าง ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้ละเลย และในปีที่ผ่านมา การปฏิรูปไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ในคราวเดียวทั้งหมด แต่มีการทยอยทำในส่วนที่สามารถทำได้ โดยมีการพยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปฏิรูปการทำงานของตำรวจในด้านต่างๆ ถ้าจะบอกว่ามีคนนั้น คนนี้ทำความผิด ถามว่า สัดส่วนของคนที่ทำความผิดกับจำนวนเจ้าหน้าที่กี่แสนคน ที่ต้องดูแลประชาชนกี่ล้านคนต้องไปดูในภาพใหญ่นี้ด้วย และ ส.ส.ปลอดภัยทุกคนที่ที่มานั่งในห้องประชุมอย่างปลอดภัย ใครดูแลท่าน ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายความมั่นคงทั้งสิ้น ทั้งนี้ ยืนยันว่า ตั้งแต่ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้วางระบบ ตั้งแต่สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกลาโหม ที่มีหน้าที่ดูแลกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ก็ได้ส่งต่อมาถึงตน โดยมีการปรับตำรวจและให้มีการออกละจากราชการไม่เคยเก็บไว้ประมาณพันรายแล้ว ซึ่งมีการรายงานทุกเดือน เว้นแต่ว่ามีการปกปิด ถ้าหากพบก็จะต้องมีการลงโทษ ซึ่งก็เหมือนกับการกระทำผิดทั่วไป แต่เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก็ต้องลงโทษหนักกว่าเพื่อนเพราะสังคมให้ความสนใจมาก ยืนยันว่า ตนไม่ปกป้องใครทั้งสิ้น ใครทำผิดก็ลงโทษไปกฎหมายมีทุกตัว แต่อย่าสอนให้คนไม่เคารพกฎหมายก็แล้วกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ไม่ใช่ว่าตนมาทำตรงนี้เอากฎหมายตำรวจ กฎหมายทหาร มาปกป้องตัวเอง เพราะฉะนั้นใครจะมาทำอะไรเห็นก็ขู่กันเป็นประจำข้างนอก ก็ลองมาก็แล้วกันไม่ได้ท้าทาย มั่นใจว่าป้องกันตัวเองได้ เมื่อช่วงเช้าฝ่ายค้านก็บอกว่ามีม็อบไปปิดกั้นตรงดินแดงทางจะไปบ้านของตน เข้าใจอะไรผิดหรือชักชวนให้คนไม่เข้าใจหรือเปล่าหรือไม่ ตรงจุดนั้นเป็นเส้นทางคมนาคมการจราจรติดขัด ประชาชนเดือดร้อนจะไปชุมนุมกันตรงนั้นทำไม ทำไปเพื่ออะไร ตนไม่เข้าใจ จะเข้าไปจับตน เข้าไปได้หรือไม่ จะมาบอกว่าเพื่อปกป้องตนคนเดียว ตนไม่อยากพูดให้เสียอารมณ์ เพราะการปฏิรูปตำรวจต้องทำอะไรอีกมากมาย เพื่อให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ฝ่ายค้านอย่ามาพูดในสิ่งที่โครงการศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องแห่งชาติ ทั้ง 3 โครงการยังไม่เกิดขึ้น แต่ถูกอภิปรายแล้วมองไปว่ามีการทุจริต ถ้าทุจริตก็ตรวจสอบและระงับ หากมีความผิดก็แจ้งความไปสู้คดี ไม่มีการล็อกสเปกไม่มีการทุจริตไม่เช่นนั้น ตนยืนตรงนี้ไม่ได้ ถึงแม้ไม่มีใครจับตนได้ ตนก็ไม่กล้ายืนต่อกรเาประชาชนทั้งประเทศที่ตนยืนอยู่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
จากนั้น นายยุทธพงศ์ ลุกขึ้นประท้วงนายกฯที่ใช้วาจาใส่ร้ายเสียดสี เอาเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาพูด และบอกว่า มีกรรมาธิการงบประมาณปี 65 บางคนเรียกหน่วยงานมาพบเพื่อมาเคลียร์ นายกฯพูดแบบนี้ ตนเสียหาย นายกฯบอกว่า เป็นลูกผู้ชาย ชายชาติทหาร ถ้ามีหลักฐานว่าตนเรียกหน่วยงานมาพบ ก็ขอให้นายกฯเอาตำแหน่งมาเดิมพันกับตน ที่เป็น ส.ส. ถ้าท่านมีหลักฐาน ตนจะลาออกจากการเป็น ส.ส. แต่ถ้าท่านไม่มีหลักฐานต้องลาออกจากการเป็นนายกฯ
จึงทำให้ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานในที่ประชุม กล่าวเตือนว่า ข้อประท้วงของนายยุทธพงศ์ฟังไม่ขึ้น นายกฯไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและชี้แจงตรงประเด็น จึงขอวินิจฉัยว่านายยุทธพงศ์ผิด เพราะของนายยุทธพงศ์หนักกว่า
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อว่า ยืนยันว่า ตนไม่ได้ใช้ความรุนแรงไม่ได้พูดจะให้ใครเสื่อมเสียทั้งสิ้น คราวหลังถ้าตนพูดอะไรอย่ารับ เพราะตนไม่ได้ระบุชื่อใครทั้งสิ้น
จึงทำให้ นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงด้วยเช่นกันว่า ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านั้น จะว่านักการเมืองเป็นโคลนตม เหม็นโสโครก แต่วันนี้ท่านเป็นนักการเมืองแล้ว ส่วนที่ตนพูดว่า นายกฯให้เงิน ส.ส. 5 ล้านบาท แลกกับการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจจากชั้น 2 ไปชั้น 3
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า ประเทศจีน มีเกมเปลี่ยนหน้า แต่ประเทศไทยมีเกมเปลี่ยนหัว อย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย สงสารประชาชน ซึ่งในศาลเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ในสภาฯเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ใครรับหรือไม่รับเขาไม่พูดกัน ถ้าหากสมประโยชน์ และไม่ขอตอบอะไร แต่มีการกล่าวอ้างว่ามีคนมาพบตน ตนไม่ใช่คนแบบนั้น ทุกคนมาทักทาย เพราะไม่ได้เจอกัน มาคารวะมาเป็นกำลังใจให้นายกฯ ตอบไม่ทำบ้าๆ บอๆ แบบนั้นไม่ทำถุงขนมอยู่แล้ว