รองโฆษกรัฐบาล เผย รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน พร้อมผลักดันแนวคิด ASEAN+2 จีน-สหรัฐฯ ให้สองมหาอำนาจมีส่วนร่วม พร้อมรับการช่วยเหลือโควิด
วันนี้ (30 ส.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ของความสัมพันธ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ที่จัดประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งผลการประชุมมีสาระสำคัญ อาทิ
1. การผลักดันการยกระดับสถานะความสัมพันธ์อาเซียน-จีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้านและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทางทะเล ซึ่งไทยได้นำเสนอ (1) รายชื่อโครงการความร่วมมืออาเซียนเพื่ออนาคตที่ยั่งยื่น จำนวน 30 โครงการ (2) การแสวงหาความร่วมมือด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) (3) แนวคิดเรื่องอาเซียนบวกสอง (ASEAN+2) เพื่อเป็นเวทีให้สหรัฐอเมริกาและจีนเข้ามามีส่วนร่วมในการหารือกับอาเซียนในประเด็นที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญและมีผลกระทบต่อภูมิภาคโดยตรง
2. การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเวชภัณฑ์และวัคซีนจากจีนเพื่อรับมือกับโควิด-19 โดยประเทศสมาชิกอาเซียนยินดีต่อการสนับสนุนช่วยเหลือเวชภัณฑ์และวัคซีนจากจีน
3. การใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน เร่งรัดการให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว และขยายความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเศรษฐกิจดิจิทัล
4. การสนับสนุนการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้อย่างเต็มที่ และเห็นพ้องร่วมกันให้สานต่อการเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ที่มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่ครอบคลุมกฎหมายระหว่างประเทศ
5.การร่วมออกถ้อยแถลงร่วมของการประชุมฯ
สำหรับผลการหารือทวิภาคี มีผลการหารือที่สำคัญ อาทิ 1) การจัดหาวัคซีนและความร่วมมือด้านการผลิตวัคซีนกับจีน และไทยขอให้จีนติดตามการพิจารณาประเด็นการเดินทางกลับจีนของนักศึกษาไทยและการกลับไปทำการบินเชิงพาณิชย์ของการบินไทย 2) การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโครงการรถไฟไทย-จีน กับโครงการรถไฟไทย-ลาว 3) การป้องกันการลักลอบข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย และ 4) การบรรจุถนนสาย R12 (นครพนม-คำม่วน) เป็นส่วนหนึ่งของความตกลงว่าด้วย การอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง