ส่องโพสต์ “หมวดไวกิ้ง” เยี่ยม “คฝ.” บาดเจ็บ ซาบซึ้ง คำว่า “เป็นตำรวจ” แบกรับทุกอย่าง ทุกฝักฝ่าย ทุกสี ทุกความแตกร้าว “ต่าย ชุติมา” อดีตภรรยา “พิธา” วอน เห็นต่างได้แต่ไม่แตกแยก “ทะลุแก๊ส” แถลง สู้ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น หมวดไวกิ้ง ส่งกำลังใจ คฝ.ช่วยชาวดินแดง กับวันที่น้ำตาไหลไปเยี่ยมพี่ๆ ตำรวจบาดเจ็บ
โดยระบุว่า จากที่กำลังกลายเป็นกระแสฮือฮา! เมื่อปรากฏภาพของตำรวจสาวสวยที่ถือโทรศัพท์จ่อไมโครโฟนแก่ ผบ.ตร. ในงานแถลงจับกุม “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ เผยแพร่อยู่ในโลกโซเชียลนั้น
สื่อหลายสำนักต่างพากัน เรียกว่า เปิดวาร์ป ตำรวจสาวสวยคนดังกล่าว ซึ่งพบว่า เธอชื่อ หมวดไวกิ้ง หรือ ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ ทำหน้าที่ติดตาม อำนวยความสะดวก โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้หมวดไวกิ้ง เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 72 ที่สามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา คือ ไทย, อังกฤษ และจีน
ต่อมาทีมข่าวเดอะทรูธ ตรวจสอบการใช้โซเชียลฯของหมวดไวกิ้ง พบว่า ใช้ เฟซบุ๊ก Patarasaya Rerkrut (Viking) ซึ่งได้โพสต์ภาพ ข้อความ รวมทั้งคลิปที่เจ้าตัวแชร์ถึงเพื่อนร่วมอาชีพ ในการให้กำลังใจในการทำหน้าที่ด้วย เช่น
17 สิงหาคม เวลา 21:51 น.
เป็นกำลังใจให้ตำรวจ…ด้วยกันเองค่ะ
ทั้งนี้ หมวดไวกิ้ง ได้แชร์ข้อความ พร้อมคลิปวิดีโอมาจากเฟซบุ๊ก นักรบองค์ดำ-สองคาบสมุทร ซึ่งเป็นเหตุการณ์การชุมนุมที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ในการเข้าช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ดังนี้
17 สิงหาคม เวลา 21:30 น.
ความจริงอีกด้านที่สื่อ lll ไม่เคยนำเสนอนะจ๊ะพี่จ๋า
ภาพน่ารักๆ ของพี่ตำรวจ คฝ. ช่วยคุ้มกันประชาชน ส่งเข้าที่พักยังแฟลตดินแดงอย่างปลอดภัย
กราบขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านค่ะ
นอกจากนี้ หมวดไวกิ้ง ยังได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความลงในเฟซบุ๊ก Patarasaya Rerkrut ระบุอยู่ที่ รพ.ตำรวจ
17 กรกฎาคม วันนี้ต้องออกจากคลาสเรียน IR ก่อนเพื่อน เพราะได้มีโอกาสมาเยี่ยม ตร.ที่ได้รับบาดเจ็บการจากการไป ว4 ชุมนุมเมื่อวาน ทุกครั้งที่รู้ว่า ต้องมาเยี่ยม ตร.เจ็บ
ต้องฮึบก่อน ต้องทำใจก่อนว่าจะไม่ sensitive…เป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่เป็นคนที่อินกับการฟังคนอื่นพูดมาก วันนี้ฟังแล้ว… ไม่ไหว น้ำตาจะไหล ก็นะ ทั้งๆ ที่ก็โดนทำร้ายมา
หลังจากที่โดนถามว่า “หายแล้วจะไปทำหน้าที่นี้อีกมั้ย?” คำตอบของตำรวจทุกคนที่นอนซมอยู่บนเตียงมันเหมือนกันอย่างน่าตกใจ อย่างกับนัดกันมา…
พี่ๆ เค้าตอบกันว่า “ไป เพราะว่าผมเป็นตำรวจ”
แค่คำว่า “เป็นตำรวจ” เหตุผลมันก็มากพอแล้วกับการที่จะต้องแบกรับความกดดันจากทุกอย่าง ทุกฝักฝ่าย ทุกสี ทุกความแตกร้าว แค่พูดคำว่า เป็นตำรวจ ทุกคนก็รู้แล้วว่าต้องทนไหว เพราะเบื้องหน้าของตำรวจ คือคำว่าประชาชน และเท่าที่เคยเห็น มันเป็นอย่างนั้นเสมอมาเลยจริงๆ
ถ่ายรูปไป #มองบน ไป กะพริบตาถี่ๆ ไม่ใช่อะไร น้ำตาจะไหลจ้ะ
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “ต่าย ชุติมา” อดีตภรรยา “พิธา” วอนเห็นต่างได้ แต่ไม่แตกแยก เมย์ มาริษา โผล่เมนต์ บารมีในหลวงทำบ้านเมืองสงบ
โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวานนี้ (26 ส.ค. 64) ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ นักแสดงสาว อดีตภรรยาของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์รูปภาพที่มีข้อความว่า ไม่ได้มีเจตนาอื่น นอกเหนือจากการ “ไม่อยากเห็นคนไทย คนในครอบครัวแตกแยก เกลียดชัง หรือแบ่งพรรคแบ่งพวก” ความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกันได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดอย่ามองข้ามความรัก ความปรารถนาดีภายในครอบครัวนะคะ บางทีบรรยากาศดีๆ ในบ้าน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงก็ได้ค่ะ รบกวนแสดงความเห็นด้วยวาจาสุภาพค่า
พร้อมกับข้อความระบุว่า
1. การวิจารณ์รัฐบาล เป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนสามารถทำได้….การรัก หรือ ไม่รัก หรือการมีความคิดเห็นต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างไร…..เราก็วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ค่ะ ถ้ารัฐบาลทำไม่ดี ทำไม่ถูก…ถ้าทำดีเราก็ชื่นชม
2. การไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล การออกมาเรียกร้องเพื่อให้ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนา ก็ไม่ได้แปลว่า “เกลียดรัฐบาล ...เราแค่อยากเห็นเค้าทำอะไรให้ดีขึ้น..คนที่ “รักรัฐบาล” ก็วิจารณ์รัฐบาลได้นะคะ เหมือนกับการที่เรารักลูก รักแฟนเรา เราก็ยังต่อว่าเค้าได้ ยิ่งรักยิ่งต้องเตือนกันในเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ควร จริงมั้ยคะ?
3. การไม่พอใจรัฐบาล นั้น “ไม่จำเป็นต้องเกลียดไปที่ตัวบุคคล” เพียงแต่คนที่เป็นหัวหน้าทีม ย่อมได้รับผลกระทบสูงสุด เพราะทุกอย่างที่สรุปออกมานั้น แปลว่าต้องผ่านกระบวนการสุดท้ายจากหัวหน้าแล้ว
4. การที่เราโยงการทำงานของรัฐบาลชุดก่อนๆ มาเปรียบเทียบ ว่าใครเลวกว่า ใครสร้างหนี้เยอะกว่า ไม่ได้นำพาให้ปัญหาของวันนี้ได้รับการแก้ไข…ต้องยอมรับว่า รัฐบาลแต่ละชุด ก็มีทั้งผลงานที่ดี และไม่ดี มากน้อยปะปนกันไป…สนับสนุนใครก็เลือก ไม่สนับสนุนก็ไม่ต้องเลือก (ถ้ามี) การเลือกตั้งสมัยหน้า
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอส่งกำลังใจ และขอให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้โดยเร็วด้วยเทอญ
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน เมย์ มาริษา ฮอร์น ดาราสาว ก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า จริงมากเลยแม่ … #คิดต่างได้แต่ไม่เห็นต้องแตกแยก คิดถึงบ้านเมืองเราสมัยเราเป็นเด็กๆ นะ จะผ่านรัฐบาลกี่สมัย จะได้ยินผู้ใหญ่ในบ้านวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลยังไงก็ตาม แต่คนไทยก็ไม่เคยเกลียดกันเลย ยังคงมีความรัก #ชาติศาสน์กษัตริย์ มีหัวใจเดียวกัน
และ ต่าย ชุติมา ก็ได้ตอบกลับว่า รักแม่ด้วย ปล. ภาพวัยเด็กหนู งอง ยังไม่เก็ทเรื่องการเมือง…รู้สึกว่าปี 2021 เรื่องการเมืองจะใกล้ตัวที่สุดแล้วค่ะแม่
ต่อมา เมย์ มาริษา ก็ได้เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ว่า ทางนี้ยังจำเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้อยู่เลย ตอนนั้นน่าจะเรียนอยู่ชั้น ป.5 เป็นวันเปิดเรียนวันแรก แต่โรงเรียนต้องหยุดหมด เพราะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย มีรถถังออกมาวิ่ง สุดท้ายได้บารมีในหลวง ทำให้นักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายยุติการทะเลาะกัน บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ภาพถ่ายทอดสดตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรียกนักการเมืองทั้ง 2 ท่านเข้าเฝ้าเพื่อประนีประนอมกันเพื่อประชาชน ยังจำติดตาเลยค่ะ
นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า รัฐบาลทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็วิจารณ์เฉพาะรัฐบาลหรือขับไล่เฉพาะรัฐบาล ไม่ควรใส่ร้ายหรือพาดพิงดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้อง เชื่อว่าหลายคนคิดเช่นนี้
เราเป็นชาวเขา มีโรงเรียน ตชด.อยู่ใกล้บ้าน ญาติที่อยู่บนดอยอีกมีไฟฟ้า มีถนนได้เพราะโครงการหลวง ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่จะทำอะไรให้กับพวกเราเลย พวกเราชาวเขาปาเกอญอ รักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน กรณี กลุ่ม “เยาวรุ่นทะลุแก๊ส” ออกแถลง สู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครไม่เห็นด้วยไม่ต้องมา!!
คำถามข้อที่ 1 : เยาวรุ่นทะลุแก๊สเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สาเหตุแห่งความรุนแรงทุกวันนี้ รัฐบาลเป็นฝ่ายที่หยิบยื่นความรุนแรงให้กับประชาชนก่อน ซึ่งมนุษย์เรามี ความรู้สึก ความเจ็บปวด เราจึงไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านให้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย นับเป็นการขับเคลื่อนทางการเมืองในรูปแบบหนึ่ง
คำถามข้อที่ 2 : จุดประสงค์ของการรวมตัวกันเหมือนหรือต่างกับกลุ่มทะลุฟ้า และ REDEM หรือไม่ และจุดยืนของเยาวรุ่นทะลุแก๊สคืออะไร?
เยาวรุ่นทะลุแก๊ส ขออนุญาตไม่ก้าวล่วงต่อแนวคิดของทะลุฟ้า หรือ REDEM หรือกลุ่มกิจกรรมใดๆ ก็ตาม จุดประสงค์ของเราทุกวันนี้ คือ ต้องการให้ภาครัฐต้องยุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนทุกมิติ ทุกรูปแบบ
เยาวรุ่นทะลแก๊ส เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยต้องการให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุติบทบาทการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยทันที หากรัฐยังยืนยันใช้อำนาจคุกคามทำร้ายประชาชนโดยปราศจากความยุติธรรม เราก็พร้อมที่จะสู้เพื่ออนาคตของพวกเรา เรามีอุดมการณ์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทุกคน เราจะไม่ยินยอมเป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว
คำถามข้อที่ 3 : คิดอย่างไรกับการใช้สันติวิธีในการต่อสู้ ?
การขับเคลื่อนต่อสู้ทางการเมืองมีหลายรูปแบบ เยาวรุ่นทะลุแก๊สไม่ได้ปฏิเสธการใช้สันติวิธี แต่สิ่งที่เราแสดงออกอยู่นั้น กลั่นมาจากความเจ็บปวดของประชาชน จึงทำให้เราลุกขึ้นสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทางเพจขอวอนต่อผู้สื่อข่าวทั้งหลาย ด้วยหวังว่า สื่อมวลชนจะนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา
คำถามข้อที่ 4 : เพจเยาวรุ่นทะลแก๊ส สร้างเพื่อจุดประสงค์อะไร ?
เพจเยาวรุ่นทะลุแก๊ส สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร รวบรวมข้อมูล แลกเปลี่ยนวิธีการตอบโต้ หรือวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทุกคนที่ติดตามเพจมีสิทธิในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ ทางเพจไม่ได้ต้องการบังคับ หรือควบคุมมวลชน เนื่องจาก คนที่มาร่วมกิจกรรมที่ดินแดงนั้นเกิดจากคนหลายกลุ่ม และเป็นอิสระต่อกัน แต่สามารถช่วยเหลือกันเพื่อต่อสู้กับระบบเผด็จการได้ ทางเพจเยาวรุ่นทะลุแก๊ส เชื่อว่า การเตรียมพร้อมในการร่วมกิจกรรมเบื้องต้น จะเป็นการลดความเสี่ยงเรื่องของการบาดเจ็บหรือคดีความ เพื่อให้เราได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกลับคืนมา
แน่นอน, ทั้งหมดที่หยิบยกมา ต่างสะท้อนมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองเกี่ยวกับตำรวจ และผู้ที่อยู่ในวงการตำรวจ มุมมองของคนที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง มุมมองจากฝ่ายที่อ้างตัวเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตของตัวเอง ซึ่งทุกคนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญตราบใดที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือทำผิดกฎหมาย เรื่องนี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
แต่ปัญหาก็คือ มีคนจำนวนหนึ่ง พยายามชี้นำคนไทยให้คิดแบบตัวเอง และเชื่อแบบตัวเอง ถ้าไม่คิด ไม่เชื่อแบบตัวเอง ถือว่า เป็น “สลิ่ม” อยู่คนละฝ่าย ต้องถูก “บูลลี่” หรือล่าแม่มด และหรือที่เรียกกันว่า เอาทัวร์ไปลง จนฝ่ายที่เห็นต่างดังกล่าวแทบไม่มีที่ยืน นี่คือ การเอาความเห็นต่างมาสร้างความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายผู้คน ประชาชนในประเทศไทย
ที่น่าเศร้าใจไปกว่ากันนั้นก็คือ คนที่ออกมาชี้นำ ทำความแตกแยก ใช่ใครอื่น บางคนเป็นนักการเมืองที่ประกาศตนพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี หลายคนเป็นนักการเมืองที่อาสาเข้ามารับใช้ประชาชน หลายคนเป็นนักวิชาการผู้มีความรู้ระดับแนวหน้าของประเทศ หลายคนเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดพูดได้ว่า อยู่ในระดับนำของประเทศ
แต่เมื่อเทียบความห่วงใยประชาชน ประเทศชาติ เทียบความคิดสร้างสรรค์แล้ว ต่างกันลิบลับกับของ “ต่าย ชุติมา” อดีตภรรยา “พิธา” ต่างกันตรงไหน ก็ตรงที่ “ต่าย ชุติมา” เห็นแก่ส่วนรวม ขณะที่หลายฝ่ายดังกล่าว ไม่สนใจความขัดแย้งแตกแยกของคนไทยจะรุนแรงแค่ไหน คิดอย่างเดียว ขอให้บรรลุเป้าหมายสนองตัณหาอยากทางอุดมการณ์ของตัวเอง อคติส่วนตัว ก็พอ นี่คือ ความจริง ที่จะต้องกลับไปทบทวนถามตัวเอง
ส่วนม็อบหลากหลายสายพันธุ์ ที่ทุกวันนี้กลายพันธุ์มาเป็นเยาวรุ่นทะลุแก๊ส ทั้งยังประกาศกร้าว “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” ในการต่อสู้กับตำรวจ คฝ. เพื่อข้ออ้างขับไล่ “ประยุทธ์” นั้น ก็ไม่แน่ว่า ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์จริงหรือไม่ หรือ เป็นพวกวัยรุ่นนิยมความรุนแรง ที่ผสมผสานกลุ่มแว้น กลุ่มอาชีวะป่วนเมือง ที่พวกเขาคุ้นเคย และเคยชินการยกพวกตีกัน กับวัยรุ่นต่างถิ่น ต่าง ร.ร. ต่างสถาบันอยู่แล้ว ซึ่งถ้ามีใครสักคนป้อน “น้ำเลี้ยง” เข้าไป คนพวกนี้มีหรือจะไม่เอา เพราะแต่เดิมมันก็คือลมหายใจของพวกเขาอยู่แล้วหรือไม่?
เหนืออื่นใด ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องคิดให้จงหนักก็คือ อย่าลืมว่า “ตำรวจ” ก็คือ คนไทย เป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งถ้าผู้ชุมนุมไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง เกินกว่าเหตุ ก็ถือเป็นความผิด ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น หน้าที่ตำรวจ ก็อย่างที่ “หมวดไวกิ้ง” ว่า “จะต้องแบกรับความกดดันจากทุกอย่าง ทุกฝักฝ่าย ทุกสี ทุกความแตกร้าว... ทุกคนก็รู้แล้วว่าต้องทนไหว เพราะเบื้องหน้าของตำรวจ คือคำว่าประชาชน...”
นี่หมายถึงตำรวจดีที่ต้องแยกแยะออกจากตำรวจเลว ซึ่งต้องยอมรับว่า มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ที่ทำให้ตำรวจทั้งหมดเสื่อมเสีย แม้แต่ “ผู้กำกับโจ้” ก็เช่นกัน
ทุกฝ่ายลองเอาไปคิดดู เผื่อว่าจะได้คำตอบที่ดีกว่าทุกวันนี้