วันนี้ (26 ส.ค.) นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา ได้กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ว่า ขณะนี้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ซึ่งเป็นร่างที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 และที่ประชุมร่วมของรัฐสภาได้พิจารณาและลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาในวาระที่สองในชั้นคณะกรรมาธิการมีจำนวน 46 คน ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับดังกล่าวมีทั้งหมด 172 มาตราโดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ ได้มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเพื่อให้สอดคล้องกับการปฎิบัติภารกิจของตำรวจก็ได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น กองกำกับการตำรวจรถไฟ
ภารกิจงานจราจรภารกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็จะมีการกำหนดไปให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีภารกิจนั้นโดยตรงรับไปดำเนินการ การจัดระเบียบราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดแบ่งส่วนราชการอย่างน้อยต้องมีกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค ให้มีกองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัด และปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน มีการแบ่งข้าราชการตำรวจออกเป็นสองประเภทคือข้าราชการตำรวจที่มียศและข้าราชการตำรวจที่ไม่มียศ กำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือที่เรียกว่า ก.ตร. มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญบทบาทของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจในกฎหมายฉบับดังกล่าวก็จะมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรณีการวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และในเรื่องคุ้มครองระบบคุณธรรมต่างๆ ด้วย
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ร่างฉบับดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำของข้าราชการตำรวจที่กระทำการอันมิชอบประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำรวจกระทำผิดวินัย ก็จะเป็นกลไกที่สำคัญในการที่จะมาปลดเปลื้องทุกข์ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากข้าราชการตำรวจ การกำหนดให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการบริหารงานจัดให้มีกองทุนเพื่อการสืบสวนสอบสวนและกาดป้องกันการปราบปรามกระทำความผิดก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจในกฎหมายฉบับดังกล่าวรวมถึงการปรับบัญชีอัตราเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง คณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อรัฐสภาเป็นเรื่องด่วนและเป็นร่างพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 ว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ การพิจารณาแตกต่างจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปกติเพราะเมื่อเป็นกฎหมายปฏิรูปประเทศ จะเข้าที่ประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. และ ส.ว.คือ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะพิจารณา 3 วาระ วาระแรกคือวาระรับหลักการวาระที่สองคือการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการและวาระที่สามวาระคือขั้นลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเป็นขั้นตอนวิธีการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
นายราเมศ กล่าวย้ำตอนท้ายว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวจึงอยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการ คือ วาระที่ 2 ทุกอย่างเป็นตามขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาทุกประการ