ประธาน “แม็คฮิลล์ กรุ๊ป” และ ปศส. รุ่น 14 สถาบันพระปกเกล้า ทำหนังสือถึงนายกฯ เสนอทางรอดจากวิกฤตโควิด-19 โดยการระดมตรวจคนไทยทั้งประเทศอย่างเร่งด่วน แล้วแยกผู้ติดเชื้อ ซึ่งน่าจะน้อยกว่า 1% ของประชากร นำไปรักษาในค่ายพักชั่วคราว 1 เดือน ส่วนคนไม่ติดเชื้อก็ทำมาหากินปกติไม่ต้องล็อกดาวน์
นายบุญยิ่ง เจริญฐิติวงศ์ ประธานบริษัท แม็คฮิลล์ กรุ๊ป จํากัด และประธานนักศึกษาหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปศส.) รุ่น 14 สถาบันพระปกเกล้า ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 9 ส.ค. 64 เรื่อง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาด มีใจความว่า
ข้าพเจ้า นายบุญยิ่ง เจริญฐิติวงศ์ ประธานบริษัท แม็คฮิลล์ กรุ๊ป จํากัด และประธานนักศึกษา ปศส. รุ่น 14 สถาบันพระปกเกล้า เห็นสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันอยู่ในสภาวะคับขันอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองดังนี้
แนวทางแก้สถานการณ์เศรษฐกิจและโรคระบาดขณะนี้
1. ต้องมีการตรวจประชากรแบบเร่งด่วนทั้งหมด เพื่อแยกผู้ติดเชื้อและผู้ไม่ติดเชื้อออกจากกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะเหลือผู้ติดเชื้อไม่ถึงร้อยละ 1 ของประชากร (เราจึงไม่ควรปล่อยให้ประชากรที่ติดเชื้อน้อยกว่า 1% ทําให้ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด)
- เมื่อเราแยกประชากรปลอดเชื้อออกมา พวกเขาทุกคนจะทํามาหากินได้ตามปกติทันที ไม่มีล็อกดาวน์ ไม่มีการคุมเข้มใด ร้านค้า ห้างร้านเปิดตามปกติ โรงเรียนเปิดตามปกติ ระบบเศรษฐกิจจะค่อยฟื้นในไม่ถึงหนึ่งเดือน
- กลุ่มผู้ติดเชื้อขอให้ใช้ค่ายทหาร สนามกีฬา อาคารยิมและที่ราชพัสดุต่างๆ ที่ว่าง มาทําเป็นค่ายพักชั่วคราว (ใช้ไม่เกิน 1 เดือน)
(กรณีที่เราคัดแยกด้วย Antigen Rapid Test Kit เราอาจให้ทําการตรวจ Swab ด้วย RT-PCR หรือไม่ก็ได้)
- แจกยาต้านไวรัสให้ผู้ติดเชื้อทันทีที่พบไม่มีข้อแม้ว่าจะอาการมากน้อย เพื่อเป็นการกําจัดเชื้อแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ให้เหลือและไม่ให้ยืดเยื้อ (ผู้ติดเชื้อจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่เสียกําลังแพทย์และพยาบาล ไม่เสียเตียง ผู้ที่ทานยาต้านไม่ได้ผล หรือมีโรคอื่น จําเป็นเท่านั้นถึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลซึ่งจะเพียงพอ)
ส่วนวิธีการคัดแยกมี 2 แบบคือ
ก. ตรวจโดยใช้ ATK ( รวดเร็วและง่าย) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับ มหาดไทยโดยนัดวัน ดีเดย์ตรวจ 3 วัน พร้อมกันทั่วประเทศและต้องมีเงื่อนไข
- รัฐโดย สธ.เป็นผู้จัดหาชุด ATK เร่งด่วน 80 ล้านชุดจากหลายๆ ผู้ผลิต เพื่อกระจายให้ทุกจังหวัดอย่างเร็วที่สุด (การใช้หลาย Supplier จะไม่เกิดการผูกขาด ไม่ถูกกล่าวหาและได้ของรวดเร็ว)
- ห้ามใครตรวจก่อนวันกําหนด
- วันที่กําหนดห้ามพลเมืองทุกจังหวัดเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด
- แต่ละคนต้องอยู่ในภูมิลําเนาของตนตามทะเบียนบ้าน
- หากไม่อยู่ตามทะเบียนต้องแจ้งเขตที่ตนเองอยู่ในปัจจุบัน
- มหาดไทยจะเตรียมการตรวจโดยจัดหน่วยตรวจเช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ทุกคนต้องไปยังหน่วยที่สังกัด ในวันกําหนดเพื่อตรวจโรคระบาด (ออกเป็น พ.ร.ก.)
- มีหน่วยรถจากทหารและโรงพยาบาลอาสาและตํารวจดับเพลิงและอาสามาช่วยส่งผู้ติดเชื้อ กรณีตรวจเป็นบวกเข้าค่ายทันที
- เมื่อทุกอย่างพร้อมลงมือตรวจพร้อมๆ กันทั่วประเทศ
- พบผู้ติดเชื้อเป็นบวกส่งค่ายทันที่เพื่อรับยาและรักษา
- ผู้ไม่ติดเชื้อให้อยู่บ้าน 3 วันจนการตรวจเสร็จสิ้น ก็ใช้ชีวิตและทําธุรกิจตามปรกติสุข
ข. จ้างเหมาหน่วยงานตรวจเชื้อชํานาญการจากประเทศจีนซึ่งมีศักยภาพตรวจได้ 1 ล้านคนในแต่ละวัน ( ผมยินดีประสานให้)
- เตรียมสถานที่ทําค่ายรักษาในค่ายทหารและสนามกีฬาเช่นเดียวกับแบบแรก
- เตรียมหน่วยทหาร โรงพยาบาลอาสา ตํารวจดับเพลิงและอาสาดับเพลิงและอาสาดับเพลิง รถขนผู้ติดเชื้อ เช่นเดียวกัน
- แบ่งโซนตรวจทีละอําเภอ หรือ หลายอําเภอ แล้วแต่ประชากร โดยจัดเวลาตรวจให้ชัดเจน เหมือนเดินผ่านตรวจแล้วเดินออกรอผลที่บ้าน โดยใช้ Tack เลขบัตร และเบอร์โทร ไม่ต้องลงข้อมูลอื่นที่ไม่จําเป็น (เวลาตามผลใช้เลขบัตรเชื่อมเบอร์โทร.ติดต่อรับตัว)
- โดยผู้ที่ตรวจแล้วไม่พบเชื้อจะอยู่บ้านต่อ 1 สัปดาห์ ห้ามเคลื่อนย้ายเพื่อให้ทั้งโซนตรวจเสร็จ
- ผู้ติดเชื้อเข้าค่ายรับยารักษาตัว ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลยกเว้นผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนหรือผู้ใช้ยาไม้ได้ผล
- หลังจากตรวจเสร็จคัดแยกทั้งโซน ในแต่ละโซนแล้วประชาชนในโซนนั้นๆ สามารถประกอบกิจการ งาน ใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่ต้องมีกฎระเบียบพิเศษใดๆ
- เมื่อโซนใดๆ ตรวจเสร็จ จะใช้รหัสสีเขียว แต่ละโซนที่มีรหัสเขียวจะสามารถเดินทางเชื่อมต่อค้าขายและประกอบกิจการงานตามปรกติโดยไม่ต้องกักตัว
- โซนใดที่ตรวจไม่เสร็จจะขึ้นสีเหลือง เพื่อไม่ให้เคลื่อนย้ายไปที่อื่น ผู้ที่เคลื่อนย้ายจากสีเหลือง ไปที่อื่นมีความผิดอาญาฐาน ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ควบคุมโรค
- จัดโซนรหัสเหลืองสําหรับผู้ที่รักษาตัวแล้วเพิ่งหาย
- ผู้ที่รักษาตัวในค่ายและโรงพยาบาลต้องอยู่รหัสสีแดง เท่านั้น เมื่อหายแล้วอยู่โซนรหัสเหลืองก่อน
- ผู้ที่รักษาตัวและผ่านรหัสเหลืองก่อนออกไป ต้องตรวจ swab อีกครั้ง
2. รัฐต้องให้
สธ.ออกระเบียบฉุกเฉินผ่อนผันการนําเข้าย วัคซีนและเวชภัณฑ์เร่งด่วน ในสภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ต้องใช้ระเบียบปรกติของ อย. แต่ใช้เกณฑ์ที่ ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์ประเภทนั้นๆ ได้รับการรับรองจาก WHO แล้วก็พอ เพื่อนําวัคซีนเข้ามาให้ทันสถานการณ์และไม่ล่าช้า (หากล่าช้าปีหน้าอีก 6-7 เดือน ภูมิคุ้มกันของประชากรที่ฉีดวัคซีนรอบแรกๆ จะหมดไป ภูมิคุ้มกันของประชากรก็จะไม่ทัน 70% สักที คือไล่ไม่ทัน)
- อนุญาตให้เอกชนนําเข้ายาและวัคซีน เพื่อใช้ในภาคเอกชนเองโดยเสรี ภายใต้งบประมาณของเอกชนเอง และเอกชนต้องทําประกันเพื่อรองรับชดเชยผู้ที่มีปัญหาจากวัคซีนหรือยานั้นๆ เอง (ห้ามผลักภาระมาให้รัฐประกัน ต้องเป็นผู้ชดเชยหากพบปัญหา)
3. รัฐบาลให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกระเบียบผ่อนผัน การนําเข้าวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ที่ WHO รับรอง ไม่จําเป็นต้องเสียเวลาตรวจสอบคุณภาพที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลดความล่าช้าที่ไม่จําเป็น
4. รัฐ โดยกระทรวงมหาดไทย และแรงงาน ต้องร่วมมือกับทหาร คุมเข้มแรงงานเถื่อนและคนหลบหนีเข้าเมืองอย่างจริงจัง รัฐต้องคาดโทษไล่ออก ต่อหน่วยงานที่หละหลวม โดยไม่มีข้อแม้ เพื่อป้องกันเชื้อเข้ามาใหม่ จัดหน่วยงาน ใช้โดรน ใช้เครื่องบิน ตรวจตราอย่าเข้มงวด (ค่าใช้จ่ายตรวจตราย่อมถูกกว่าค่ารักษา)
5. รัฐต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้มีสายการบินจากประเทศที่มีการระบาด เข้ามาลงในประเทศไทย ไม่ว่ากรณีใดๆ (เพราะสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนเข้าใจ)
6. Sinovac ที่สั่งมายังมีประโยชน์เพราะความปลอดภัยสูง ควรนํามาฉีดให้กับเด็กอายุ 3-17 ปี (ทางจีนประกาศให้ใช้ฉีดกับเด็กแล้ว) ซึ่งเด็กต้องการการกระตุ้นน้อย ได้วัคซีนเล็กน้อยภูมิก็สูงแล้ว (โดยสามารถใช้ขนาดเท่ากับวัคซีนไข้หวัดใหญ่) เด็กๆตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปก็จะไปโรงเรียนได้
การแก้ไข 6 ประเด็นแบบนี้ ผมเชื่อว่า ประเทศไทย จะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และจะกลับสู่สภาวะปกติในไม่ เกิน 3 เดือนครับ