“หมอวรงค์” แจ้งข่าวดี เตรียมเผยหลักฐานฟ้อง “ยิ่งลักษณ์-ครม.” ก.ไอซีที กสทช. และ กทค. ข้อหาออกใบอนุญาตให้ “ไทยคม 7 และ 8” ไม่ชอบ หลังเคยแฉเล่ห์เหลี่ยม “ทักษิณ” มาแล้ว ดูซะ! ม็อบมือเปล่าแบบ “ธนาธร” ระเบิดเพียบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น หมอวรงค์ แจ้งข่าวดี รวบรวมข้อมูล ความฉ้อฉล “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พร้อมขบวนการ ครบแล้ว เตรียมเปิดเผยและฟ้องคดี ออกใบอนุญาตให้ไทยคม 7 และไทยคม 8 ไม่ชอบ
โดยระบุว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดีผู้เปิดโปรงการทุจริตในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อให้สังคมได้ทราบมาแล้ว
ล่าสุด นพ.วรงค์ โพสต์เฟซบุ๊ก “Warong Dechgitvigrom” ว่า
“ผมรวบรวมข้อมูล ความฉ้อฉลของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครบเรียบร้อยแล้ว
ผมจะไปฟ้องศาลดำเนินคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ครม. กระทรวงไอซีที กสทช. และ กทค. กรณีการออกใบอนุญาตให้ไทยคม 7 และไทยคม 8 ไม่ชอบ ฐานความผิดตามมาตรา 157 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม เวลา 13.30 น.”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 64 เวลา 10:21 น. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “บทสรุปสัมปทานดาวเทียมไทย” โดยระบุว่า
ในระยะเวลา 30 ปี ของการสัมปทานไทยคม เราจะพบการใช้เล่ห์กลของนายทักษิณ ชินวัตร ในหลายๆ เหตุการณ์ หลายวาระ โดยเฉพาะหลังการมีอำนาจ ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่เป็นเจ้าของสัมปทาน ผูกขาดดาวเทียมของรัฐ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
ดาวเทียมไทยคม 1 ไม่มีปัญหา
ดาวเทียมไทยคม 2 ไม่มีปัญหา
ดาวเทียมไทยคม 3 สร้างปัญหา หลังจากที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ตามเงื่อนไขที่ต้องส่งดาวเทียมสำรอง คือ ไทยคม 4 แต่ไม่ยอมส่ง กลับส่งไทยคม 4 ในชื่อ IPstar ซึ่งเป็นดาวเทียมที่ใช้เชิงพาณิชย์ และสื่อสาร
อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ปกติแล้วดาวเทียมสำรอง ไทยคม 4 จะต้องมีคุณสมบัติเหมือนไทยคม 3 แต่นี่ไม่ใช่
ปรากฏว่า ไทยคม 3 มีปัญหาการทำงาน แต่ไม่มีดาวเทียมสำรองใช้งาน ครั้นได้ค่าประกันดาวเทียมไทยคม 3 มา 33 ล้านเหรียญ ก็มีการใช้อำนาจพิเศษ เอาเงินจากก้อนนี้ 6.7 ล้านเหรียญ ไปเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ยอมส่งดาวเทียมสำรอง และเงินค่าเช่า ต้องเป็นความรับผิดชอบของไทยคมเอง แต่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทตนเอง
ดาวเทียมไทยคม 4 ตามหลักแล้วต้องส่งเป็นดาวเทียมสำรอง เผื่อไทยคม 3 มีปัญหา แต่ไม่ยอมส่ง แต่มาส่งเป็น IPstar ซึ่งเป็นดาวเทียมเชิงพาณิชย์
การส่งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ทันสมัยที่สุด ด้วยหลักการแล้ว ดวงนี้ต้องถือเป็นดวงหลักดวงใหม่ ต้องจ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาใหม่ แต่ใช้กลไกพิเศษให้ตีความว่า เป็นดาวเทียมสำรอง ของไทยคม 3
เมื่อ IPstar ถูกตีความเป็นดาวเทียมสำรอง ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มให้รัฐ สามารถไปแสวงหาผลประโยชน์ สร้างความร่ำรวยได้เต็มที่ มีการใช้งานในประเทศไทยเพียง 6% มี 1 สถานีภาคพื้นดิน แต่ใช้หาผลประโยชน์กับต่างประเทศ 96% ใน 14 ประเทศ 18 สถานีภาคพื้นดิน ถือว่าดวงนี้น่าจะสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตนเองมาก
ดาวเทียมไทยคม 5 สร้างทดแทนไทยคม 3 ที่ใช้การไม่ได้ แต่ก็มีปัญหาที่ไทยคม 5 นี้ ก็ใช้การไม่ได้ก่อนหมดอายุ ตามหลักต้องสร้างทดแทนดวงใหม่ แต่ก็ไม่ยอมสร้าง
ดาวเทียมไทยคม 6 เป็นดาวเทียมสำรองดวง 5 ปัญหาที่เกิดคือ ไม่ได้สร้างตามมาตรฐานดวง 5 แต่มาสร้างขนาดเล็กลง
ดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 สร้างหลังจากมี พ.ร.บ. กสทช. และอนุมัติโดย ครม.นางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังมีปัญหากับภาครัฐ เพราะไม่ยอมส่งมอบ โดยอ้างว่า สร้างตามใบอนุญาต แต่ กสทช. ก็อ้างภายใต้การสัมปทาน ซึ่งกำลังถกข้อกฎหมาย
ปัญหาของดวง 7 ที่น่าสนใจคือ ตอนที่ส่งก็อ้างเพื่อส่งไปคุ้มครองสิทธิ์ในวงจร แต่แทนที่จะสร้างเอง กลับไม่ได้สร้างเอง ไปลากดาวเทียมของฮ่องกงมาอยู่ในสิทธิวงโคจรไทย คือเอเชียแซท 6 แต่แบ่งทรานส์ปอนเดอร์ฝั่งละ 14 ทรานส์ปอนเดอร์ เท่ากับผลประโยชน์คนละครึ่ง ระหว่างไทยคมกับเอเชียแซท 6 ของฮ่องกง แต่การที่มาอาศัยวงโคจรที่เป็นสมบัติของชาติ หากดวงนี้ไปสร้างปัญหา ประเทศชาติต้องรับผิดชอบ
สัมปทานดาวเทียมไทยคมกำลังจะหมดอายุ ในวันที่ 10 ก.ย. 64 กำลังจะเปิดประมูลครั้งใหม่ ให้สัญญา 20 ปี ยังไม่ทันเริ่มต้น ก็ล็อกคุณสมบัติ ให้บริษัทที่มีประสบการณ์ดาวเทียม ซึ่งทั้งประเทศมีแค่ไทยคมบริษัทเดียว แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนายทักษิณประมูล และไม่เคยมีประสบการณ์ดาวเทียม กลับให้ประมูลได้
จึงไม่แปลกที่กลุ่มทุนพลังงาน อย่าง GULF เข้ามาซื้อ INTUCH ซึ่งคือหุ้นชินคอร์ปเก่า เพราะ INTUCH ถือหุ้นไทยคม 41% และมีหุ้น AIS อีก 40% เท่ากับว่า ทุนผูกขาดใหม่แตะมือรับไม้ การผูกขาดกิจการสื่อสารและโทรคมนาคม จากทุนผูกขาดเก่า ถ้าผูกขาดดาวเทียมได้ ก็แทบจะผูกขาดการสื่อสารและโทรคมนาคมของชาติได้ ไม่ต้องพูดถึงบริษัทมือถืออื่นๆ
จึงไม่แปลกที่มีข่าว นอกจากจะใช้เงิน 1.69 แสนล้านมาซื้อ INTUCH เพื่อได้สิทธิ์ไทยคม และ AIS ยังมีแผนซื้อ AIS แยกอีก 3.6 แสนล้าน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้ เมื่อยึดดาวเทียมได้ ทุกอย่างก็ง่าย ประเทศก็คงอยู่ใต้ทุนผูกขาดใหม่ ที่แตะมือกับทุนผูกขาดดาวเทียมเก่า ลองคิดดูครับ ประชาชนไทยและประเทศชาติ จะเป็นอย่างไร?...
ขณะเดียวกัน ด้านความเคลื่อนไหวของม็อบ “10 สิงหา” หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเมื่อช่วงเย็น สร้างความเสียหายทั้งในส่วนทรัพย์สินของภาคเอกชน และส่วนราชการ โดยเฉพาะบริเวณแยกดินแดง หลังจากแกนนำประกาศยุติการชุมนุม พบว่ามีการทุบทำลาย และวางเพลิงตู้ยามตำรวจจราจร สน.ดินแดง
ต่อมายังได้มีการเคลื่อนขบวนไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้ทุบทำลายทรัพย์สินบริเวณโดยรอบ ผู้ชุมนุมจุดไฟเผาตู้ยามจราจรตำรวจ สน.พญาไท ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเห็นว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงใช้อาวุธต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นการขว้างปาก้อนหิน ก้อนอิฐ เหล็กแหลม พลุเพลิง พลุไฟ ประทัดยักษ์ เข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่อยู่เป็นระยะ
ล่าสุด วันนี้ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจจับผู้ต้องหาได้ 48 คน เป็นชาย 45 คน หญิง 3 คน ผู้ใหญ่ 33 คน เยาวชน 15 คน โดยมีผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวที่ บช.ปส. รวม 42 คน ชาย 39 คน หญิง 3 คน ผู้ใหญ่ 28 คน เด็ก 14 คน แบ่งออกเป็น
กลุ่ม 1 จับกุมโดย บก.สปพ ที่บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ.พระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. จำนวน 6 คน ชาย 4 คน หญิง 2 คน
กลุ่ม 2 จับกุมโดย สน.ดินแดง ที่ปากซอยบุญชูศรี แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. จำนวน 7 คน ชาย 7 คน ผู้ใหญ่ 4 คน,เยาวชน 3 คน
กลุ่ม 3 จับกุมโดย สน.ดินแดง ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 ปากซอยศรีวนิช แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม.,หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสามเหลี่ยมดินแดง แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม., ปากซอยบุญอยู่ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม., ปากซอยตลาดศรีวณิช แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. จำนวน 25 คน ชาย 24 คน หญิง 1 คน ผู้ใหญ่ 16 คน, เยาวชน 9 คน
กลุ่ม 4 จับกุมโดย สน.พญาไท จับกุมหน้ากรมการสารวัตรทหาร ซ.โยธี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. จำนวน 4 คน ชาย 4 คน ผู้ใหญ่ 2 คน ผู้ใหญ่เป็นต่างด้าวกัมพูชา 1 คน, เด็ก 1 คน, เยาวชน 1 คน
ในข้อหา/ฐานความผิดร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนร่วมกันมากกว่า 5 คน ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด...
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ในพื้นที่ สน.ตลิ่งชัน มีผู้ต้องหาจำนวน 5 คน ชาย 5 คน ถูกจับบริเวณหน้าบริษัท TP โลจิสติกส์ แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาที่ 2-5 บริเวณหน้าบริษัท ตลิ่งชัน ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน คือ นายนภัส อายุ 20 ปี นายสุวิทย์ อายุ 30 ปี เยาวชนอีก 3 คน พร้อมของกลาง วัตถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) หุ้มด้วยเทปสีดำ จำนวน 3 ลูก กระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ วัตถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) พันด้วยเทปสีดำ จำนวน 1 ลูก กระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ อาวุธมีดพับ
แจ้งข้อหา “มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย (เฉพาะผู้ต้องหาที่ 1-2), พกพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะ หรือชุมชน เมือง โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือมีเหตุอันควร (เฉพาะผู้ต้องหาที่ 2), ร่วมกันกับพวกหลบหนีมั่วสุมรวมตัวเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคติดต่อฝ่าฝืนข้อกำหนดตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังตรวจยึดรถจักรยานยนต์ ได้ 122 คัน ซึ่งจะทำการตรวจสอบผู้ครอบครอง ว่า เกี่ยวข้องกับการทำผิดหรือไม่
ที่น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ว่า การชุมนุมในวันนี้ ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า มีเพียงความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธ แต่ตำรวจทหารกลับเตรียมใช้กำลังเข้าห้ำหั่น ใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเกินเหตุ วันนี้จะไม่มีความรุนแรงหากเจ้าหน้าที่รัฐตระหนักว่าคนที่คุณประจันหน้าอยู่ไม่ใช่อริราชศัตรู แต่คือประชาชนเจ้าของประเทศ #ม็อบ7สิงหา
แน่นอน, ประเด็นที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือ ใครมีส่วนเกี่ยวกับการป่วนเมืองของม็อบสามกีบ เพื่อผลประโยชน์ ที่ใหญ่กว่า ข้ออ้างสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะในยุคประชาธิปไตย คนพวกนี้ก็ไม่หยุดความมักใหญ่ใฝ่สูง โลภในผลประโยชน์ จัดตั้งม็อบมาสู้เพื่อตัวเองก็ทำมาแล้ว
ทั้งสองคนต้องการให้ “นักการเมืองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” และโกหกคนไทยอย่างหน้าด้าน การไม่มีสถาบันฯ ทำให้เขาทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องเกรงใจ หรือ กลัวจะถูกยึดอำนาจ และแม้แต่มีสถาบันฯคนบางคนก็ยังไม่กลัว
เพราะฉะนั้นบทสรุปของความต้องการล้มสถาบันฯ ก็มีเท่านี้เอง?
แปลกแต่จริง ช่วงนี้ ทักษิณกับยิ่งลักษณ์ ดูดิ้นพล่านผิดสังเกต เหมือนต้องการปั่นหัวคนไทยเรื่องใหม่ เพื่อให้ลืมเรื่องเก่า โดยเฉพาะปมทุจริตคอร์รัปชันที่บางฝายกำลังตรวจสอบ รวมทั้งผลประโยชน์มหาศาล จากสัมปทานดาวเทียมไทยคม ที่ “หมอวรงค์” กัดไม่ปล่อย เหมือนกรณีทุจริตจำนำข้าว
ส่วน “หมอวรงค์” จะมีข้อมูลเด็ดอะไรมาเปิดเผย และฟ้องศาลฯ เอาผิดทั้งขบวนการ จึงนับว่าน่าติดตามอย่างยิ่ง
ส่วน “ธนาธร” ก็อย่างที่เห็น มอง “อันธพาลครองเมือง” และพวกเผาบ้านเผาเมืองภาค 2 เป็นม็อบมือเปล่าและมีความคิดสร้างสรรค์ มันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว