ไม่เป็นธรรม! ตำรวจถูกยิงเจาะคอ สื่อสามกีบเมิน “เจ๊จุก” แฉคลิปเด็ดตบหน้าสาวก 3 นิ้ว ถามหาหลักฐาน ชี้ชัด ทุบเผารถ ป้อมยาม ไม่มี ตร. “พี่ศรี” บุกถาม กสม. มือเปล่าจริงหรือ? “ทอน” ปลุกระดมไม่หยุด สมรภูมินี้ชัยชนะ ปชช.
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ความจริงต้องปรากฏ!! ตำรวจแกะรอย กล้องวงจรปิด มือมืดยิงเจาะคอตำรวจ กลางม็อบ 7 สิงหา!?”
โดยระบุว่า “จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทะชุลมุนบริเวณแยกดินแดง โดยชุดตำรวจควบคุมฝูงชนเข้ากระชับพื้นที่ ทราบว่า ส.ต.ต.นิตินัย คลองสม ตำแหน่ง ผบ.หมู่กองร้อยที่ 3 กก.คฝ.1 ได้ถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิดเข้าที่บริเวณคอ และเพื่อนตำรวจได้ช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอผ่าตัดเอากระสุนออกจากบริเวณคอ
ซึ่งในเวลานั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุม มีการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ส่วนทางด้านผู้ชุมนุมได้ใช้สี น้ำปลาร้า มะเขือเทศปาตอบโต้ และบางรายยังขว้างปาอาวุธ ระเบิด ใส่เจ้าหน้าที่ด้วย
โดยล่าสุด มีรายงานความคืบหน้า ระบุว่า พลตำรวจตรี ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. เปิดเผยกับทีมข่าวท็อปนิวส์ ถึงความคืบหน้า กรณี ส.ต.ต.นิตินัย ครองสม ผู้บังคับหมู่ ร้อย 3 กองกำกับการควบคุมฝูงชน กองบังคับการควบคุมฝูงชน โดยทราบต่อมาว่า ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด.22 เข้าท้ายทอย ว่า แพทย์ได้ผ่ากระสุนที่ติดหลอดลมออก และยังคงพักรักษาอยู่ในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่ในการดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด
ส่วนการติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น ขณะนี้ตำรวจชุดสืบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งกล้องวงจรปิด คลิปต่างๆ ที่ถ่ายในเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อรวบรวมให้ได้มากที่สุด โดยจะนำไปแกะหาตัวมือปืนที่ยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย
นอกจากนี้ จากการเปิดเผยยังพบว่า มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากอาวุธอื่นอีกหลายคน
ขณะเดียวกัน วันนี้ เจ๊จุก คลองสาม ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งของผู้ชุมนุมบางส่วนว่ากระทำพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ในระหว่างการชุมนุมม็อบ 7 สิงหา บริเวณแยกดินแดง จนเกิดการปะทะเดือดกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดย เจ๊จุก คลองสาม ได้นำคลิปเหตุการณ์ต่อเนื่องของม็อบมาโพสต์ลงในโลกทวิตเตอร์ ซึ่งมีทั้งพฤติกรรมทุบรถผู้ต้องขังของฝ่ายตำรวจ ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้วอด พร้อมมีบางคนไปยืนปัสสาวะใส่ซากที่ถูกเผา รวมทั้งเหตุการณ์บุกพังป้อมยามตำรวจทำลายทรัพย์สินของทางราชการ
“เจ๊รอให้สาวกสามกีบโง่ๆ ออกมาร้องหาก่อนว่า ไหน? มีหลักฐานไหมว่าสามกีบเผา? ตำรวจจัดฉากหรือเปล่า? ได้เลย หลักฐานมีอยู่แล้ว เพราะสายเจ๊มีเพียบ กล้องเป็นร้อยๆ ตัว ดูคลิปนี้และฟังเสียงให้ชัดๆ เห็นตำรวจสักคนมั้ยเอ่ย? โดยเฉพาะช่วงท้ายคลิป อย่างเด็ดอ่ะขอบอกกก” เจ๊จุก ระบุตอนหนึ่ง (ขอบคุณเรื่อง และภาพ จากแนวหน้า)
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 9 ส.ค. 64 นี้เวลา 10.00 น. สมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)” เพื่อสอบถามว่า การชุมนุมสาธารณะเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นไปโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า มีเพียงความคิดสร้างสรรค์ จริงหรือไม่ ? (นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์เอาไว้)
สืบเนื่องจากมีกลุ่มเยาวชนปลดแอก FREE YOUTH กลุ่มราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฯลฯ นัดชุมนุมสาธารณะที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเคลื่อนขบวนไปที่พระบรมมหาราชวัง แต่ต่อมาได้มีการแกงเจ้าหน้าที่ โดยเปลี่ยนไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหมายไปที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี ที่ ร.1 รอ. ถ.วิภาวดีฯ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไว้ จนกระทั่งมีกลุ่มการเมืองและนักการเมืองบางกลุ่มบางคนออกมาแถลงการณ์กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ยั่วยุ ทั้งๆ ที่ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า มีเพียงความคิดสร้างสรรค์
แต่ข้อเท็จจริงที่โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนรายงานนั้น ปรากฏการปะทะกันขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง รถฉีดน้ำสกัดการเคลื่อนตัวชุมนุมของม็อบ ขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมก็ปรากฏมีการใช้หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกหิน ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการใช้พลุ ตะไล ขวดน้ำมัน เพื่อใช้เป็นระเบิดเพลิงในการตอบโต้เจ้าหน้าที่ด้วย
จนกระทั่งมีรถคุมขังนักโทษของตำรวจถูกเผาเสียหายไป 1 คัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างบาดเจ็บจากการปะทะกันไปหลายคน
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอให้ลงพื้นที่สังเกตการณ์การชุมนุม เนื่องจากผู้ร้องอ้างว่า ใช้เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพการชุมนุมโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ แต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับใช้วิธีการคุกคามเสรีภาพผู้ร้องและผู้ชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง กสม.จึงมีมติมอบหมาย นางปรีดา คงแป้น ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี นางศยามล ไกยูรวงศ์ และ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันดังกล่าวด้วย
เมื่อความปรากฏว่า มีการปะทะกันขึ้น มีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย มีทรัพย์สินของทางราชการเสียหายโดยชัดแจ้ง และมีผู้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ใช้ความรุนแรง ยั่วยุ ทั้งๆ ที่ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า มีเพียงความคิดสร้างสรรค์นั้น
เมื่อ กสม.ลงพื้นที่เพื่อติดตามเฝ้าระวังแล้ว จะมีข้อสรุปว่าผู้ชุมนุมได้ดำเนินการชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า จริงหรือไม่ และปฏิบัติการของรัฐในการควบคุมฝูงชนเป็นไปตามหลักสากล หลักความจำเป็นและได้สัดส่วนกับสถานการณ์หรือไม่ อย่างไร
เพราะคำตอบของ กสม.สามารถนำไปใช้ประกอบในการแจ้งความหรือดำเนินคดีกับผู้ที่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จต่อไปได้ สมาคมฯจึงต้องเดินทางไปยื่นคำร้องสอบถาม กสม.เพื่อขอคำตอบในกรณีดังกล่าวต่อไป
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ก็ได้ออกมา โพสต์เฟซบุ๊ก ทันควันหลังม็อบยุติลง ระบุว่า
“อย่ารอให้ถึงกลียุค
การชุมนุมที่เกิดขึ้นในวันนี้ พิสูจน์ชัดแล้วว่า รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ปิดประตูตายไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่ประนีประนอม ไม่รับฟังข้อเรียกร้องแห่งยุคสมัย ไม่ว่าการชุมนุมจะจัดโดยใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ รูปแบบจะสันติเพียงใด รัฐก็พร้อมใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ปราบปรามประหนึ่งประชาชนเป็นอริราชศัตรู
วันนี้ การปราบปรามผู้ชุมนุมเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นการชุมนุม ประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมมือเปล่า ถูกปราบปรามด้วยเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือ ใช้ทั้งกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถน้ำแรงดันสูง
วันนี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ตัวดีว่าไม่เหลือความชอบธรรมใดๆ ไม่เหลือแรงสนับสนุนจากประชาชน จึงต้องยึดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไว้โดยใช้กำลัง ใช้ปลายกระบอกปืนค้ำยันเท่านั้น
สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร วันนี้คุณกำลังเลือกข้างผิด เลือกทำตามคำสั่งที่ไร้มนุษยธรรม ไร้ความชอบธรรม คุณกำลังแบกรัฐบาลเผด็จการที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับประชาชน ผู้เสียภาษีมาจ่ายเป็นเงินเดือนและอาวุธที่คุณกำลังใช้ทำร้ายห้ำหั่นพวกเขา
หยุดรับใช้รัฐบาลที่หมดความชอบธรรม ได้เวลามายืนเคียงข้างประชาชน
หยุดรับใช้เผด็จการ ได้เวลาแล้วที่คุณจะกลับมาพิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นตำรวจและทหารของประชาชน
สำหรับผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติการที่กระทำเกินกว่าเหตุ ทั้งการปราบปราม การสร้างสถานการณ์ยั่วยุ และการปลุกปั่นความเกลียดชังในสังคม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน พวกเขาจะต้องถูกดำเนินคดีให้สาสมต่อการกระทำของพวกเขา เพื่อที่ในอนาคตเหตุการณ์เหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก
สำหรับพี่น้องประชาชนที่กำลังโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมที่เกิดซ้ำซาก หรือหมดหวังกับการต่อสู้ที่พวกเราถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมขอยืนยันว่า สมรภูมินี้ ชัยชนะย่อมเป็นของประชาชนอย่างแน่นอนในท้ายที่สุด เพียงแต่การต่อสู้ยังอีกยาวไกล การได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่เคยง่าย ขอให้เรายืนหยัดเคียงข้างกัน แน่วแน่ในการต่อสู้แบบสันติวิธี และเก็บแรงพลังไว้เพื่อที่จะได้เห็นวันแห่งชัยชนะร่วมกัน
วันที่เราประกาศได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน”
แน่นอน, สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการปะทะกันครั้งนี้ ของม็อบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมฝูงชน ก็คือ การตามมาด้วยความจริงคนละชุด และเหตุการณ์คนละเรื่อง ของแต่ละฝ่าย
และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ มีสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง เลือกที่จะเสนอข่าวเอนเอียงอย่างแจ้งชัด โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการถูกยิงปางตายของตำรวจ ทั้งที่พวกเขาก็คือ ลูกหลานประชาชนคนไทยที่ไปทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบ และช่วยป้องกันมือที่สาม ที่จะเข้าผสมโรงก่อเหตุร้าย
และที่ต่างจากการปะทะทุกครั้ง คือ ครั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่สังเกตการณ์ด้วย ตามคำเรียกร้องของฝ่ายม็อบ ซึ่ง “พี่ศรี” ได้เตรียมเข้าพบแล้ว ว่า กสม.ชุดนี้มีมุมมองอย่างไร เห็นพฤติกรรมม็อบว่า มือเปล่า คิดสร้างสรรค์ อย่างที่โหมประโคมข่าวกันเอาไว้หรือไม่ ที่สำคัญ พร้อมที่จะเอาพยานหลักฐานมากมาย ที่ฝ่ายตรงข้ามม็อบบันทึกภาพและคลิปเอาไว้ได้ ไปร่วมพิจารณาด้วยหรือไม่ หรือว่า จะเชื่อแต่หลักฐานของสื่อสามกีบ ที่เสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว
ความจริงแล้ว สังคมไทยอาจไม่ต้องการอะไรมาก แค่ทำความจริงให้ปรากฏ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยแยกแยะออกจาก “ยุทธศาสตร์” ร่วมที่ว่า “ต่อสู้กับเผด็จการ” ฝ่ายประชาธิปไตยต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอไป
เพราะดูเหมือน พวกที่เรียกตัวเอง เป็นฝ่ายประชาธิปไตยอยู่นี้ ของปลอมทั้งนั้น!?