“เรืองไกร” ไม่กลัวถูกร้องปมถอยป้ายแดงรถเบนซ์หรู พร้อมชี้แจงทุกประเด็นจ่อส่งทีม กม.ฟัน “ยุทธพงศ์” ตัดสิทธิ 10 ปี ฐานร้องเท็จ จ่ายด้วยแคชเชียร์เช็ค แต่หวั่นหากถูกตั้งคณะกรรมการสอบจะกระทบพิจารณางบ 65 ไม่เสร็จตามกำหนด ส้มอาจหล่นใส่กองทัพงบไม่ต้องถูกตัด
วันนี้ (30 ก.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แถลงกรณีที่ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบฯ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธาน กมธ.งบฯ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรณีซื้อรถเบนซ์ป้ายแดง มูลค่า 5 ล้านบาท ในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็น กมธ.งบฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่า เมื่อมีการยื่นร้องเรียนตามมาตรา 144 จะเป็นผลทำให้การพิจารณางบประมาณ วาระ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ เกิดปัญหา ทั้งนี้ ส่วนตัวยินดีให้ตรวจสอบถ้าทุกอย่างเข้าเงื่อนไข แต่จะเกิดปัญหา เพราะต้องตั้งคณะกรรมการสอบ ซึ่งตนพร้อมชี้แจงตามหลักฐานที่มี และไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร แต่ที่มีความกังวลคือเงื่อนเวลาในการพิจารณางบประมาณ เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามกรอบเวลา แต่ถ้าประธานสภาฯ หรือประธาน กมธ.งบฯ ตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 แล้วตั้งคณะกรรมการสอบตน จะหมายความว่า กมธ.ที่ไม่ได้ทักท้วงเรื่องนี้ต้องรับผิดร่วมด้วย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง และจะมีปัญหาตามมาว่าหากพิจารณางบประมาณ ไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนด 105 วัน ของกรอบการพิจารณางบประมาณ รัฐธรรมนูญ มาตรา 142 ให้ถือตามร่างที่รับหลักการในวาระ 1 หมายความว่า สิ่งที่ทำมาในชั้นอนุ กมธ. และ กมธ.ทั้งหมด ไม่มีผล และกลับไปใช้ร่างเดิมทั้งหมด และถือว่าสภาให้ความเห็นชอบ จากนั้น ต้องส่งให้วุฒิสภาพิจารณาให้เสร็จภายใน 20 วัน โดยไม่มีอำนาจปรับลด ผลที่ตามมาคืออาจจะเห็นงบของกองทัพที่ถูกตัดไปกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นเรือดำน้ำ อากาศไร้คนขับหรือโดรน
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนถือเงินสด 5 ล้านบาท ไปซื้อรถเบนซ์นั้น เป็นการคาดเดาที่ไม่ตรงความเป็นจริง ซึ่งตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว โดยจะพิจารณาไปถึงกฎหมายพรรคการเมือง และข้อบังคับพรรคการเมือง ที่มีโทษตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี แต่ไม่ถึงขั้นยุบพรรค รวมถึงกฎหมาย ป.ป.ช. เพราะการร้องและกล่าวหาอันเป็นเท็จ ถือว่ามีโทษทั้งตามประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายป.ป.ช. และกฎหมายพรรคการเมือง รวมถึงกรณีเงิน 25 ล้านบาท ตนมีหลักฐานพร้อมชี้แจงทั้งหมด ทุกอย่างที่คาดเดากันไป ทั้งประเด็นกฎหมาย จริยธรรม และเรื่องภาษี ตนพร้อมพิสูจน์ทั้งหมด และเมื่อถึงเวลาก็จะชี้แจงทั้งหมด
“ผมไม่เคยถือเงินสด 5 ล้านบาท ไปซื้อรถเบนซ์ แต่เป็นการนำแคชเชียร์เช็คไปจ่าย โดยเช็คลงวันที่ 30 มิ.ย. 64 ทุกอย่างมีพยานรู้เห็นหมด การร้องให้ตรวจสอบถือว่าเป็นสิทธิ แต่ถ้าข้อความหรือข้อร้องเรียนนั้นเป็นเท็จ ก็ต้องถูกดำเนินการ ซึ่งผมจะเบิกเงิน 10 ล้านบาท ของผมก็เบิกได้ แต่ผมต้องกรอกแบบฟอร์มของ ปปง. เรื่องนี้ผมรู้ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้เรื่อง และเอกสารใบคำขอซื้อก็มี เรื่องนี้มีคนที่อวดรู้ สู่รู้ ไปจินตนาการบรรเจิดเลิศเลอ หาว่าผมย้ายค่าย ถ้าเช่นนั้นผมอยู่บางพรรคมา 6-7 ปี คงได้อะไรมาเยอะแล้ว จึงขอยืนยันว่า ทุกบาททุกสลึงถูกต้องหมด และในเดือนหน้าผมอายุครบ 60 ปี ทางครอบครัวและผม ก็อยากให้รางวัลชีวิตตัวเอง จึงซื้อรถไว้สำหรับครอบครัวก็เท่านั้น ซึ่งสิ่งต่างๆที่ร้องมาแล้ว ไม่สามารถถอนได้ ผมได้ให้ฝ่ายกฎหมายเก็บข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว และที่นัดผมไว้วันที่ 5 ส.ค. ผมสะดวกและพร้อมไปตามนัด” นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่า การที่โพสต์รูปรถพร้อมระบุข้อความว่า มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อให้เปรียบเสมือนเป็นการขุดหลุมดักอะไรหรือไม่ นายเรืองไกร หัวเราะก่อนกล่าวว่า “ตอนแรกก็หวังดักปลาซิว ปลาสร้อย แต่กลับได้ปลาวาฬตัวใหญ่”