เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าอาจจะยังไม่ใช่เป็นลักษณะของ “กระแสหลัก” ที่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านของบรรดา “ชาวจีน” ในเวลานี้ยังเป็นเพียงแค่ “จุดเริ่มต้นเล็กๆ” ที่เริ่มไม่พอใจกับท่าทีของบรรดา “ดารา” ในไทยบางคน โดยเฉพาะ “ดาราดัง” หรือดารามีชื่อพอสมควร ที่ออกมาแสดงจุดยืน หรือที่เรียกว่า “Call out” ในเรื่องการจัดหาและการกระจาย “วัคซีน” และที่เริ่มเป็นปัญหามากขึ้น ก็คือ การที่เสียงเรียกร้องให้จัดหา “วัคซีนคุณภาพ” ให้กับคนไทย แต่ดันไปพ่วงผูกติดกับวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี่ mRNA ซึ่งหมายถึงวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ซึ่งผลิตในสหรัฐอเมริกา
แน่นอนว่า ทั้งสองเรื่องดังกล่าวคือทั้งวัคซีน และการเมือง รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ เวลานี้ล้วนเชื่อมโยง “เป็นเรื่องเดียวกัน” ซึ่งเริ่มมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา ที่แข่งขันแย่งชิงอิทธิพลทั้งในระดับเวทีโลก และในระดับภูมิภาค ที่หากใครติดตามล้วนทราบดี
ในช่วงเวลานี้ “การเมืองเรื่องวัคซีน” กำลังเป็นประเด็นที่แหลมคมระหว่างสองชาติมหาอำนาจดังกล่าว รวมไปถึงการกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าใครเป็น “ตัวการในปล่อยเชื้อโรคโควิด” ให้ระบาดออกไปทั้งโลก ซึ่งต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน
สำหรับเรื่องวัคซีนก็เช่นเดียวกัน ที่มีการกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม และถูกมองว่าได้ถูกนำมาเป็นเรื่อง “การเมืองระหว่างประเทศ” ในการสร้างอิทธิพล แม้ว่าในรายละเอียดจะมีความแตกต่างกันระหว่างประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือในด้านวัคซีน โดยเฉพาะในเรื่องของ “การส่งออกวัคซีน” ที่ในระยะแรกที่ต้องยอมรับกันว่า ทางฝ่ายจีนได้ส่งออกวัคซีนของตัวเอง ภายใต้ยี่ห้อ “ซิโนแวค” และ “ซิโนฟาร์ม” ออกไปช่วยเหลือประเทศที่เกิดโรคระบาดจากเชื้อโควิด-19 ในช่วงเริ่มต้น โดยในช่วงเวลานั้นยังเป็น “ไวรัสต้นแบบ” ที่ยังไม่ใช่ไวรัสกลายพันธุ์” อย่างเช่นทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีความเป็นจริงอีกว่าในช่วงเวลานั้น ก็คือ วัคซีนซิโนแวค สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่ายี่ห้ออื่น รวมไปถึงการได้รับบริจาคจากประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตควบคู่กันไปด้วย แม้จะถูกมองหรือ ถูกกล่าวหาในเรื่อง “วัคซีนการทูต” ในการสร้างอิทธิพลก็ตาม ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา จากสหรัฐฯกลับถูกจำกัด หรือหาซื้อไม่ได้เลยในช่วงแรก เนื่องจากถูกประเทศที่ผลิต คือ สหรัฐฯที่ในเวลานั้นกำลังมีการระบาดอย่างรุนแรง “กักตุน” เอาไว้ทั้งหมด จนมาในระยะหลังที่ภาวการณ์ระบาดเริ่มคลี่คลาย รวมไปถึงอาจเป็นเพราะมองเห็นว่า ตัวเองอาจจะเพลี่ยงพล้ำในเรื่อง “สงครามวัคซีน” กับจีน จึงปล่อยให้ส่งออก และมีการ “บริจาค” ไปให้ประเทศทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยกำลังจะได้รับการบริจาควัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส โดยตามข่าวบอกว่าจะมาถึงก่อนสิ้นเดือนกรฎาคม (29-30 กรกฎาคม) นี้
อีกทั้งยังมีเรื่อง “การเมืองภายใน” ของเราเองที่ผสมโรงกันเข้ามา ที่นำเอาเรื่องวัคซีนมาเป็นเรื่องการเมือง มีเจตนา “ด้อยค่า” วัคซีนจีน ซึ่งกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ ซึ่งหากกล่าวหาตรงไปตรงมาแบบโฟกัสเจาะจงก็ต้องพุ่งไปที่ “กลุ่มก้าวหน้า” และพรรคก้าวไกล ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นตัวขับเคลื่อน โดยเป้าหมายที่แท้จริงถูกมองว่า มีเจตนาดิสเครดิต “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เชื่อมโยงมาถึงบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ทำหน้ารับจ้างผลิตวัคซีนยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า ที่เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อของอังกฤษ ที่เป็นวัคซีนหลักของไทย
ขณะที่กลุ่มการเมือง และพรรคการเมืองฝ่ายค้านอื่นๆ ต่างก็รุมถล่มในเรื่องแบบเดียวกัน แต่พุ่งเป้าไปในเรื่องการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ และมีความล่าช้าไม่ทันการณ์ ซึ่งในสถานการณ์ที่เป็นแบบเดียวกันทั่วโลก ยกเว้นประเทศผู้ผลิตวัคซีน และประเทศที่มีข้อตกลงเงื่อนไขพิเศษ ถือว่าแทบไม่ต่างกัน
แม้ว่ายี่ห้อหลังนี้อาจจะไม่ได้ถูก “ด้อยค่า” มากนัก เมื่อเทียบกับยี่ห้อแรกของจีน แต่ถึงอย่างไรก็ “โดน” ไม่น้อยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหากพิจารณาในเรื่องเจตนาในเรื่องงบประมาณ และสัญญาในการจัดซื้อ
เมื่อวกมาที่ “กลุ่มดารา” ที่ก่อนหน้า ที่บอกว่า Call out หรือการแสดงจุดยืน ทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่อง “วัคซีน” แต่ในความเป็นจริงแล้วกลายเป็นว่า มีการ “ด่าหยาบคาย” รวมไปถึงการ “ปลุกระดมให้ร้าย” ซึ่งอย่างหลังไม่เรียกว่าการแสดงจุดยืนแน่นอน เพราะ “ผิดกฎหมาย” อาจถูกดำเนินคดีตามมา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับ “ดารา นักร้อง (ไม่ค่อยดัง)”
อย่างไรก็ดี สำหรับ “บรรดาดารา (ดัง)” ที่แม้ว่าจะออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะ “ได้รับข้อมูลน้อย” หรือถูกบิดเบือนข้อมูลจากคนอื่นในโลกโซเชียลฯ จนเกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน และออกมาเพราะแรงกดดันต้องแสดงจุดยืน เนื่องจากเกรงจะเสีย “แฟนคลับ” พวกหนึ่งหรือ เมื่อได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต ในแต่ละวันเพิ่มจำนวนสูงขึ้น เกิด “หดหู่เวทนา” จนต้องแสดงความเห็นบางอย่างออกมา แต่บังเอิญว่าไปพาดพิงถึงวัคซีนอีกยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งอย่างบอกก็คือ ด้วยความไม่รู้ หรือนึกไม่ถึง เช่น เรียกหา “วัคซีนคุณภาพ mRNA เพื่อนำมาฉีดฟรีให้คนไทยทุกคน”
แน่นอนว่า หากเอาใจเขามาใส่ใจเราก็ย่อม “ปรี๊ด” ขึ้นมาทันที เพราะนั่นเท่ากับว่า วัคซีนของประเทศเค้า “ด้อยประสิทธิภาพ” ทั้งที่ในช่วงเวลาหนึ่งประเทศเขาก็ช่วยเราก่อนใคร ขณะที่อีกประเทศหนึ่ง แม้จะบอกว่ามี “วัคซีนเทพ” อยู่ในมือ แต่กลับ “กักเอาไว้ฉีดเอง” จนเวลานี้เมื่อถูกกดดัน ถูกด่าจากทั่วโลก และเห็นวา อาจพ่ายแพ้ “เกมวัคซีน” อีกทั้งในประเทศตัวเองเริ่มคลี่คลาย ก็เริ่มปล่อยออกมาในรูปของการบริจาค ขณะที่การซื้อขายตามที่ระบุเอาไว้ ก็จะเข้าในราว “ไตรมาส 4” ก็คือ อีกราว 3-4 เดือนข้างหน้า และคาดว่า จะทยอยเข้ามาเช่นเดียวกัน ไม่ใช่มาแบบล็อตใหญ่ 20 ล้านโดสในวันเดียว หรือเดือนเดียวแน่นอน
มันถึงได้น่ากลัวว่าสำหรับ “ดาราดังบางคน” ที่ปรากฏเป็นข่าว เริ่มเป็น “กระแสถูกแบน” เพราะถูกมองว่า “ด้อยค่าวัคซีน” ประเทศเค้า เนื่องจากดาราดังพวกนี้ รวมไปถึงบริษัทที่ตัวเองสังกัด กำลังทำธุรกิจด้านบันเทิงในประเทศจีน ซึ่งรับรู้กันว่ามียอดผู้ชมจำนวนมาก หากเกิดกระแสในวงกว้างวันใด ก็ย่อมเกิดผลกระทบแน่นอน ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ก็มีกระแส “ชื่นชม” ดารา (ดัง) อีกบางคนว่า “ทำตัวมีคุณค่า” เข้าใจสถานการณ์ ทั้งในเรื่องวัคซีนและการบริจาคช่วยเหลือสังคม จนเกิดภาพ “สองด้านตัดกัน” อย่างชัดเจน
ดังนั้น การเป็นดารา (ดัง) ย่อมไม่อาจทำตามกระแสพาไปเพียงอย่างเดียว ต้องมีจุดยืนที่เหมาะสมอีกด้วย และที่สำคัญ ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องรอบด้าน ไม่ใช่ทำตามกระแสกดดันบางอย่าง จนอาจเกิดผลกระทบในทางลบตามมาจนคาดไม่ถึง เหมือนกรณีวัคซีนที่เกิดขึ้น ที่ได้แต่หวังว่าไมได้บานปลายเป็นวงกว้าง !!