ข่าวปนคน คนปนข่าว
** จาก “โมเดอร์นาทิพย์” จะมาถึง “ไฟเซอร์ทิพย์” มั้ยงานนี้ “หมอบุญ” รับปากหมาโหมข่าวนำเข้าวัคซีนก่อนเซ็น เพราะทำเพื่อชาติ แต่หุ้น รพ.เด้งรับกระฉูดไปแล้วชาวหุ้นหนาวๆ ร้อนๆ กลัวติดดอย
กรณี “หมอบุญ” นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เคลื่อนไหวออกตัวแรง ให้ข่าวจะนำเข้าวัคซีน “ไฟเซอร์” 20 ล้านโดส โดยขอปิดหน่วยงานรัฐที่เป็นคนกลางสั่งให้ก่อน แต่ยังไงๆ จะเซ็นสัญญาแน่นอน
ข่าวนี้สร้างความสนใจให้สังคมอย่างมาก เพราะในภาวะวัคซีนไม่พอ “หมอบุญ” ประกาศใหญ่โตนำเข้าไฟเซอร์ตั้ง 20 ล้านโดส แบบนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา แม้จะมีคำถามตามมาว่า ทำได้จริงหรือ? แต่แค่ “หมอบุญ” ให้ข่าวราคาหุ้นโรงพยาบาลธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ของหมอบุญ ก็พุ่งขึ้นกว่า 13%
เรียกว่า “หมอบุญ” ออกมาทีไร ทำให้หุ้นขึ้นทุกที คราวก่อนดัน “โมเดอร์นา” วันนี้จะซื้อ “ไฟเซอร์” นักลงทุนก็แห่เข้ามาเก็งกำไรหรือถือยาวไว้รับผลประกอบการปีนี้ ที่เชื่อว่า กำไรจากธุรกิจวัคซีนโควิด จะออกมาหรูหราแน่นอน
แต่ความแน่นอน คือ เริ่มไม่แน่นอน!! เพราะที่ว่าเซ็นแน่ๆ นำเข้าแน่ๆ พอมาถึงเมื่อวานนี้ (15 ก.ค.) สายๆ “หมอบุญ” ก็บอกสื่อว่ายังไม่พร้อม เพราะเอกสารสัญญาซื้อขายมีรายละเอียดเป็นจำนวนมากกว่า 40 หน้า ต้องให้เวลาทนายใช้เวลาพิจารณา อาจจะเซ็นกันตอนเย็น และ เมื่อถึงเย็นก็ออกมาเปลี่ยนแปลงคำพูด ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ของ “พี่ยุทธ” สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางช่อง 3 อีกทีว่า เย็นนี้ไม่ทัน ขอเป็นสองทุ่มแทน ..หรือไม่ก็เซ็นในวันที่ 16 ก.ค. แทน
“หมอบุญ” ยังบอก เซ็นเสร็จปุ๊บ คาดว่า วัคซีน “ไฟเซอร์” จะนำเข้าได้ช้าสุดภายในสิ้นเดือนนี้ ประเดิมล็อตแรกราว 5 ล้านโดส จากคำสั่งซื้อทั้งหมด 20 ล้านโดส
จากความเคลื่อนไหวของ “หมอบุญ” ที่ออกมาให้ข่าวฝ่ายเดียวก็ต้องบอกว่า สังคมบางส่วนก็คงเชื่อไปแล้ว แต่เมื่อ บริษัท ไฟเซอร์ ออกมากล่าวว่า การซื้อขายวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เป็นการพูดคุยกับรัฐบาลไทยเท่านั้น..
สื่อที่ออกมารายงานเรื่องนี้ “สำนักข่าวรอยเตอร์” รายงานด้วยว่า ทั้งบริษัท ไฟเซอร์ และบริษัท ไบโอเอ็นเทค ปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการเจรจาเรื่องการซื้อขายวัคซีนกับ บมจ.ธนบุรีฯ
โฆษกของบริษัท ไฟเซอร์ ระบุเพิ่มเติมว่า ไฟเซอร์และบริษัทในเครือทั่วโลก ไม่ได้ให้สิทธิผู้ใดในการนำเข้า ทำการตลาด หรือจำหน่ายวัคซีนไฟเซอร์-บิออนเทค
พลันนี้ความโอละพ่อก็ตามมา เกิดคำถามพร้อมคำอุทาน..“อ้าว...กูว่าแล้ว” ที่ “หมอบุญ” พูดมาทั้งหมดหรือจะเป็นคดีพลิก กลายเป็น “ไฟเซอร์ทิพย์” ตามอย่าง “โมเดอร์นาทิพย์” ก่อนนี้หรือเปล่า ซึ่งตอนนี้สำหรับใครที่จองโมเดอร์นา ก็ยังไม่รู้ว่า วัคซีนจะมาเมื่อไหร่ ยิ่งมีข่าวว่า “หมอบุญ” โดนองค์การเภสัชฯ ฟ้องหมิ่นประมาท ยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่า จะถูกโรงพยาบาลเอกชน “เท” หรือไม่ ครั้นมีคนจะขอเงินจองคืน โรงพยาบาลก็ไม่ยอม บอกเป็นเพราะรัฐบาลมีปัญหา ...สถานการณ์ของโมเดอร์นาในส่วนของเอกชนวันนี้ ต้องถือว่ายังเป็น “วัคซีนทิพย์” เหมือนเดิม
ขณะที่ชาวหุ้นเริ่มออกอาการร้อนๆ หนาวๆ กลัวว่า หากไฟเซอร์ของ “หมอบุญ” เกิดเป็นวัคซีนทิพย์ อีก คงไม่แคล้วจะพากันทัวร์ขึ้นดอย ติดดอย กันละคราวนี้
ต่อมามีนักข่าวไปถาม “หมอบุญ” จะว่าอย่างไร เมื่อทางไฟเซอร์ปฏิเสธมาแบบนี้ ประธานกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรีฯ ก็ใจดีตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางนู้นจะบอกปัด เพราะใครๆ ก็รู้ว่า การซื้อขายวัคซีนเปิดเผยสัญญาไม่ได้ กฎหมายให้เป็น G2G ก็ต้องรอจนกว่าจะมีการเซ็นสัญญานั่นแหละ ถึงจะเปิดเผยกัน สื่ออาจจะฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เพียงแต่ตัวเองก็ยอมรับว่า ส่วนตัวที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ถือว่า “ปากหมา” เอง แต่ไม่เป็นไร เพราะทำเพื่อชาติ!
เรื่องนี้จึงน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง “หมอบุญ” ที่ขอปากหมาเพื่อชาติ ทำบุญให้ประเทศ จะนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ มาได้จริงหรือเปล่า งานนี้ ต้องมีใครโกหก และ หน้าแหกกันบ้างล่ะ!
** สมาคมบอล ยุค “บิ๊กอ๊อด” อ่วม!! เจอค่าโง่ ต้องจ่าย “สยามสปอร์ตฯ” 450 ล้าน...ใครไม่อาย ผมอาย !
คดีความที่ “สยามสปอร์ตฯ” ฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อ “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ถึงวันนี้มีข้อยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ มีคำพิพากษาให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชำระเงินให้แก่ บริษัท สยามสปอร์ตฯ 450 ล้านบาท
ไม่ว่าสื่อหลัก หรือกระแสโซเชียลฯ ไม่เรียกเงิน 450 ล้าน นี้ว่า “ค่าปรับ” หรือ “ค่าเสียหาย” แต่เรียกว่า “ค่าโง่”
ที่มาของเรื่องนี้ ต้องย้อนไปถึงยุคที่ “วรวีร์ มะกูดี” เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้ทำสัญญาแต่งตั้งให้ “บมจ.สยามสปอร์ตซินดิเคทฯ จำกัด (มหาชน)” เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ ของ “สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด แพร่ภาพ ทำโปรดักชัน และการข่าวอื่นๆ ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือทีมชาติ ...มีการทำสัญญากัน 2 ฉบับ ...ฉบับแรก เมื่อ 8 ก.พ. 56 สำหรับฤดูการแข่งขันปี 59-60 ฉบับที่ 2 เมื่อ 9 ก.ย. 58 สำหรับฤดูการแข่งขันประจำปี 61-65
เรียกว่าสัญญาล่วงหน้ากันยาวถึง 5 ฤดูกาล เพราะช่วงนั้นกระแสการเปลี่ยนตัวนายกสมาคมฯ กำลังมาแรง
เมื่อ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โค่น “วรวีร์ มะกูดี” ลง และขึ้นเป็นนายกสมาคมฯ แทน ก็มีการรื้อระบบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จึงเลิกสัญญากับ “สยามสปอร์ตฯ” ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้มีการ “ผูกขาด” … แล้วให้ “บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน)” เข้ามารับช่วงดำเนินการแทน
ทำให้ผู้ซื้อลิขสิทธิ์ และบรรดาสปอนเซอร์ต่างๆ ที่ผูกอยู่กับ “สยามสปอร์ตฯ” ต้องถูกยกเลิกไปด้วย ทางสยามสปอร์ตฯ จึงฟ้อง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กับพวกรวม 20 คน ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เรียกค่าเสียหายให้สมาคมฯ ชดใช้เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท
ต่อมา (23 ส.ค. 62) ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำพิพากษาให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชำระเงินให้แก่ บริษัท สยามสปอร์ตฯ 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง และ ให้สยามสปอร์ตฯ คืนเงิน 240 ล้านบาท แก่ บริษัท ซีนีเพล็กซ์ จำกัด จำเลยที่ 20 พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ก.พ. 59
“สยามสปอร์ตฯ” ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ล่าสุด (15 ก.ค. 64) ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชำระเงินให้แก่ บริษัท สยามสปอร์ตฯ 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (27 มิ.ย. 60) ถึงวันที่ 10 เม.ย. 64 และดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เม.ย. 64 เป็นต้นไป พร้อมออกคำบังคับให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน
แน่นอนว่า เงิน 450 ล้านบาท มิใช่จำนวนน้อยๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ก็อยู่ในภาวะยากลำบากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาหาพันธมิตรรายใหม่เข้ามาดำเนินการ เป็นผู้ถ่ายทอดสดฟุตบอลอาชีพ และฟุตบอลทีมชาติ
ยิ่งในสถานการณ์ที่โควิดระบาด ฟุตบอลลีก ต้องพักการแข่งขัน สปอนเซอร์ต่างๆ ไม่ต่อสัญญา เรียกว่า ระบบธุรกิจกระทบเป็นลูกโซ่ แถมศรัทธา ความ “ฟีเวอร์” ของแฟนบอลที่มีต่อทีมชาติไทย ในยุคที่ “บิ๊กอ๊อด” เป็นนายกสมาคม ก็ถดถอยลง เรื่อยๆ
เงินของสมาคมฯ ที่ตอนนี้ก็หายากอยู่แล้ว แทนที่จะได้นำมาพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ก็ต้องนำไปเสียเป็น “ค่าโง่” ตั้ง 450 ล้าน แถมดอกเบี้ยอีกต่างหาก
...มีนายกสมาคมฯอย่างนี้ ใครไม่อาย...ผมอาย