xs
xsm
sm
md
lg

เชื้อร้ายสังคมไทย! “แอฟ-อั้ม” ถูกคุกคามหนัก บังคับ Call out “อดีตรองอธิการ มธ.” ผิดหวัง คนรุ่นใหม่ไม่แยกแยะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “แอฟ-อั้ม” โดน “สามกีบ” คุกคามหนัก ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
“แอฟ-อั้ม” โดน “สามกีบ” คุกคามหนัก บีบบังคับให้ Call out ด่าสุดหยาบ “ขายบริการ” อดีตรองอธิการ มธ. ผิดหวัง คนรุ่นใหม่ไม่แยกแยะ “ผิด-ถูก” ป้อง “หมอบุญ” ด่า “หมอยง” แค่อยู่คนละฝ่าย “โลกทึ่ง” ไทยวิจัยสลับฉีดวัคซีน เยี่ยม!

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 ก.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น แอฟ-อั้ม ถูก “สามกีบ” คุกคามหนัก

เนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจากกรณี ไบรท์ พิชญทัฬห์ ได้โพสต์คลิปดรามา “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ร้องไห้กลางรายการข่าว จนกลายเป็นกระแสที่สามกีบต่างนำไปชื่นชม

หลังจากนั้น ก็ได้มีเหล่าคนดังดาราจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นใต้คลิป แต่คนที่เห็นแล้วถึงกลับสะดุด นั่นก็คือ “แอฟ ทักษอร” ที่เข้ามาคอมเมนต์เป็นอีโมชัน “รูปร้องไห้” ซึ่งในความหมาย ก็คือ เป็นการแสดงความรู้สึกสงสาร

หลังจากนั้นไม่นาน “กลุ่มทัวร์สามกีบ” ที่เรียกได้ว่าหิวกระหาย ก็ออกมาเคลื่อนไหวในทันที โดยมีหลายๆ ความคิดเห็น เริ่มเข้ามาโจมตีนางเอกสาว โดยส่วนใหญ่จี้ไปในประเด็นที่ไม่ยอมฟังเสียงประชาชน จี้ให้ออกมา Call out

โดยมีข้อความว่า “มาเศร้า แต่เงียบกริบนะ”, “เงียบกริ๊บเลยนะคะ”, “call out รู้จักบ่?”, “อย่าเศร้าเลยคุณแอฟ เศร้าแต่ใน ig แต่ชีวิตจริง เหมือนจะเฉยเมยนะคะ ไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเลย”

ภาพ คลิปดรามา “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
นอกจากนี้ แฟนเพจ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” นางเอกสาวชื่อดัง ก็ได้ออกมาโพสต์หลังจากที่ถูกกลุ่มสามกีบ คุกคามอย่างหนัก แถมโพสต์ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายที่เกินจะรับไหว ถึงขั้นบางคนเหยียดหยามว่า เป็นดาราขายบริการ เพียงเพราะว่าไม่พอใจที่ นางเอกดังไม่ออกมา Call Out ตามที่เขาต้องการ โดยทางด้านของแฟนเพจได้โพสต์ ว่า “แอดมินขออนุญาตพูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ หลังพี่อั้มตั้งไอจีเป็นส่วนตัว จริงๆ เราเคารพทุกความคิดเห็นของทุกฝ่ายนะคะ

แต่หลายคนบางกลุ่มกลับไม่ได้เรียกร้องในสิ่งนั้นให้ตรงประเด็น กลับมาต่อว่าเขาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย โยงไปเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เป็นความจริง ทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน ผลงาน ตัวตน หรือแม้กระทั่งแซะเรื่องการช่วยเหลือน้องหมา ในส่วนตรงนี้ขอยืนยันเลยว่าพี่อั้มพยายามช่วยเหลือทั้งคนและสัตว์เท่าที่ตนเองจะช่วยได้มาตลอด เพียงแต่ไม่ค่อยออกสื่อ

ดังนั้น เราควรแสดงความคิดเห็นให้อยู่ในขอบเขตของความเป็นจริงดีกว่าการมาต่อว่าด่าทอ เพื่อความสะใจของตนเองจะดีกว่าไหม #ตามภาพเป็นแค่คอมเมนต์บางส่วนเท่านั้นจริงๆ มีมากกว่านี้”

ขณะเดียวกัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “อดีตรองอธิการ มธ.” ผิดหวัง คนรุ่นใหม่ ไม่แยกแยะผิด-ถูก โดยระบุว่า

จากกรณี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวการให้วัคซีนโควิดสลับชนิด ระบุว่า วัคซีนชนิดเชื้อตาย Sinovac ที่คิดค้นมา มีภูมิต้านทานสูงกว่าคนที่เคยได้รับเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมมาแล้ว ซึ่งตอนต้นหลังการได้รับวัคซีนนี้จะมีภูมิต้านทานสูง แต่ไวรัสมีการพัฒนาตลอดเวลาทำให้ไวรัสหลบหลีกวัคซีนเชื้อตายได้ง่ายกว่า

ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะแนวร่วมสามกีบที่ได้มีการโจมตีหมอยง และมีการเข้าไปเปลี่ยนประวัติหมอยงในวิกิพีเดียว่า เป็นเซลส์ขายวัคซีนซิโนแวค

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ผิดหวังคนรุ่นใหม่ ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ล่าสุด รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ว่า

ขณะนี้ผู้ที่ทำงานหนักและเป็นผู้ที่น่าเห็นใจที่สุดในวงการแพทย์คงไม่พ้น คุณหมอยง ภู่วรวรรณ ผู้ซึ่งพยายามเรียกร้องให้ประชาชนรีบไปรับการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องเกี่ยงว่าจะเป็นวัคซีนยี่ห้อใด ด้วยเหตุนี้ คุณหมอยงต้องเผชิญกับการถูกโจมตี ด้วยถ้อยคำหยาบคายใน social media จากฝ่ายชู 3 นิ้ว ที่โจมตีรัฐบาล และโจมตีวัคซีนทุกตัวที่รัฐบาลจัดหามาได้ในระยะแรกนี้

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่สมควรถูกตำหนิมากที่สุด คือ ผู้ที่เข้าไปเติมข้อความที่เป็นเท็จในประวัติของคุณหมอยงใน wikipedia ว่าเป็นเซลส์ขายวัคซีน Sinovac ให้กับรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งยังนำไปเผยแพร่ใน social media ต่างๆ ทำให้มีผู้เข้าใจผิดเข้ามาด่าคุณหมอยงกันอย่างสาดเสียเทเสีย นำความเสื่อมเสียมาสู่คุณ
หมอยง อย่างมาก

และในที่สุด ตำรวจก็สามารถสืบจับผู้ที่กระทำผิดได้ เป็นชายหนุ่ม คนรุ่นใหม่อายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ขณะกำลังถูกควบคุมตัวที่บ้านของตัวเอง ชายคนนี้ยังแสดงท่าทีไม่ยี่หระ และยกมือชู 3 นิ้ว อย่างภาคภูมิใจในการกระทำของตน จนคุณแม่ของผู้ต้องหาคนนี้ถึงกับพูดว่า
“อยากให้มีปัญหามากกว่านี้หรือ”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะจับกุม สะท้อนให้เห็นถึงความร้าวฉานและเกลียดชังกันระหว่างคนไทยด้วยกัน ลึกลงไปจนถึงระดับครอบครัว สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ และลูก การกระทำของชายหนุ่มผู้นี้ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมทั่วไป ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นการทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายร้ายแรงด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่ก็ไม่เห็นมีใครในฝ่าย 3 นิ้ว ออกมาตำหนิการกระทำครั้งนี้ เหมือนอย่างที่ตำหนิคุณหมอยงเลย

นอกจากไม่มีคำตำหนิแล้ว ยังไม่พอ ล่าสุด ส.ส. ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งจากพรรคก้าวไกล กลับยังคงโพสต์โจมตีคุณหมอยง ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม มีคำว่า “ระยำ” แม้ไม่เอ่ยชื่อเพราะนำหน้าเพียงคำว่า “หมอ” แต่ทุกคนรู้ว่า หมายถึงใคร และนำคลิปที่คุณหมอยงเคยขึ้นเวที กปปส. มาให้ดูในโพสต์เดียวกัน เพื่อจะบอกพวกเดียวกันว่า คุณหมอยงเป็นพวก กปปส. เป็นฝ่ายตรงข้าม เชื่อถือไม่ได้

ในทางกลับกัน คุณหมออีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์นักธุรกิจ กำลังได้รับกำลังใจจากกลุ่ม 3 นิ้ว ดังใน page ของนายธนวัฒน์ วงศ์ชัย ซึ่งมีจำนวนคนติดตามเหยียบล้าน ได้ขอแรงทุกคนให้ช่วย save หมอบุญ ที่ออกมาวิจารณ์องค์การเภสัชกรรมเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งกำลังจะถูกองค์การเภสัชกรรมฟ้อง และบอกว่า หมอเดียวที่จะให้ความเคารพคือหมอบุญ ไม่ใช่หมอยง
เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ประเทศเรามีความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะเหตุผลทางการเมือง จนถึงขั้นที่ไม่แยกแยะว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ใครก็ตามที่ทำสิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเอง ถือเป็นความถูกต้องเสมอ ใครก็ตามทำสิ่งที่เป็นผลเสียต่อฝ่ายตัวเอง หรือไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายตัวเองต้องการ ย่อมเป็นความผิดที่ต้องช่วยกันโจมตีให้เสียหายโดยไม่เลือกวิธี ที่ใช้ความต้องการเอาชนะกันในทางการเมือง ถึงกับทำให้เรามองข้ามหลักจริยธรรมที่สมควรต้องยึดมั่นกันไปหมดแล้วหรือ เช่นนั้น คนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมที่ดีขึ้น จะแตกต่างจากนักการเมืองน้ำเน่าที่ตัวเองรังเกียจอย่างไร น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศไทยจริงๆ

สำหรับ นพ.บุญ วนาสิน หรือ หมอบุญ ที่เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม 2564) ทางองค์การเภสัชกรรม ได้แจ้งความเอาผิดในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเหตุให้องค์การเภสัชฯได้รับความเสียหาย กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา จากกรณีที่ให้สัมภาษณ์พาดพิง “องค์การเภสัชกรรม” ว่า ทางองค์การเภสัชฯ จะชาร์จค่า management 5% ถึง 10% ตัวเลขต้นทุนอาจเลย 2 พันกว่าบาท ส่วนกรณีโมเดอร์นานำเข้ามา องค์การเภสัชฯ จะซื้อก่อน คือ ทุกคนจะต้องไปซื้อผ่านองค์การเภสัชฯหมด คิดค่าบริการ 10% ซึ่งทำให้องค์การเภสัชกรรม ได้รับความเสียหาย จนกลายมาเป็นเรื่องการแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ
อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/56901/?anm

ภาพ หมอยง ภู่วรวรรณ ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ ประเด็น “หมอยง” ดังไปทั่วโลก เนื่องจากผลวิจัยสลับวัคซีนซิโนแวค-แอสตร้าฯ ปท.แรกในโลก และยังสร้างภูมิคุ้มกันได้เยี่ยมด้วย

โดยเนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามที่การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการฉีดวัคซีน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน 1 เข็ม กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ให้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 1 เข็ม โดยอาจเป็นวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด mRNA อย่างน้อย 4 สัปดาห์ หลังจากวัคซีน Sinovac เข็ม 2

และเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด-19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ ซึ่งสามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วขึ้น เพื่อให้การป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ของโรค

ต่อมาทางด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ แถลงถึงการให้วัคซีนโควิดสลับชนิด ระบุว่า วัคซีนชนิดเชื้อตาย Sinovac ที่คิดค้นมา มีภูมิต้านทานสูงกว่าคนที่เคยได้รับเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมมาแล้ว ซึ่งตอนต้นหลังการได้รับวัคซีนนี้จะมีภูมิต้านทานสูง แต่ไวรัสมีการพัฒนาตลอดเวลาทำให้ไวรัสหลบหลีกวัคซีนเชื้อตายได้ง่ายกว่า

ภาพ เติมข้อความที่เป็นเท็จในประวัติของคุณหมอยง ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
นพ.ยง กล่าวต่อว่า ถ้าฉีด Sinovac จะมีภูมิต้านทานเท่ากับคนที่เคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่ปัจจุบันนี้เป็นสายพันธุ์เดลตา ทำให้ภูมินี้กันไม่ได้ แต่ถ้าฉีด AstraZeneca 2 เข็ม ห่างกัน 14 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ แต่ต้องรอถึง 14 สัปดาห์ แต่หากฉีด Sinovac + AstraZeneca แม้ภูมิต้านทานจะน้อยกว่า AstraZeneca 2 เข็ม แต่ใช้เพียงเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งเข้ากับสถานการณ์การระบาดของโรคในเวลานี้ อีกทั้งประเทศไทยตอนนี้มีวัคซีน 2 ชนิด การบริหารวัคซีนแบบนี้ในตอนนี้จึงเหมาะสมที่สุด

ล่าสุด นายเจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า อะไรเนี่ย #คุณหมอยง ดังไปทั่วโลกแล้ว สื่อชั้นนำทั่วโลก ลงข่าวพร้อมกันพรึ๊บบบ ว่า ไทยแลนด์ วิจัยและสลับ Sinovac+AztraZeneca ประเทศแรกในโลก ฟิลิปปินส์ กำลังเร่งวิจัยไปในทางเดียวกัน

ที่ทั่วโลกสนใจของไทย เพราะเป็นการวิจัยวัคซีนเชื้อตาย + viral vector และอาจจะมี เชื้อตาย + mRNA ต่อไป ก่อนหน้านี้ เยอรมนี ยืนยันหนักแน่นว่า การฉีดสลับยี่ห้อให้ผลที่ดี โดยเข็มแรก AstraZeneca เป็น viral vector เข็ม 2 Pfizer/Modena เป็น mRNA ให้ผลดีมากในทุกวัย

ด้านสเปน วิจัยพบว่า การฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี เป็นการทดลอง AstraZeneca + Pfizer (Viral vector + mRNA) ขณะที่อังกฤษ ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ผลดี

การผสมวัคซีนจะช่วยให้การกระจายวัคซีนทั่วโลกทำได้ง่ายขึ้น ลดความตึงเครียดจากการรอวัคซีนยี่ห้อเดียว
#โควิด19 #วัคซีนโควิด19 #Covid_19 #Sinovac #AstraZeneca (จากทวิตเตอร์ของ ThaiLanDer สัมมาสติ) อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/56866/?anm...

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ “เชื้อร้าย” ในกลุ่มทัวร์ “สามกีบ” ที่ร้ายกว่า “ไวรัสโควิด-19” ด้วยซ้ำ เพราะนับวันจะยิ่งระบาดหนักในสังคมไทย และขยายวงกว้างอย่างไม่มีขอบเขต ทำให้คนไทยที่เจอเชื้อร้ายคุกคาม แม้ว่าจะไม่มีผลโดยตรงต่อร่างกาย แต่ก็อาจ “ตายทั้งเป็น” ได้เลยทีเดียว

และจริงอย่างที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร สะท้อน “...ประเทศเรามีความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะเหตุผลทางการเมือง จนถึงขั้นที่ ไม่แยกแยะว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ใครก็ตามที่ทำสิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเอง ถือเป็นความถูกต้องเสมอ ใครก็ตามทำสิ่งที่เป็นผลเสียต่อฝ่ายตัวเอง หรือไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายตัวเองต้องการ ย่อมเป็นความผิดที่ต้องช่วยกันโจมตีให้เสียหายโดยไม่เลือกวิธี...”

นี่คือ เชื้อร้ายสังคมไทย ที่ถ้าหยุดได้ จะทำให้ประเทศไทย เบาขึ้นอีกเยอะ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ก็ลองคิดดู มันจะฉุดสังคมไทยให้ตกต่ำดำดิ่งลงเหวแค่ไหน!?


กำลังโหลดความคิดเห็น