ทีมโฆษก ศบค. แจงตรวจ “Rapid Test” หากผลเป็นลบ อย่านิ่งนอนใจ ควรเฝ้าระวัง-ตรวจซ้ำ ชี้ไม่ไวและแม่นยำพอที่จะหาเชื้อได้ ขอรอ สธ.ไฟเขียว ปชช.ใช้ได้
วันนี้ (12 ก.ค.) เวลา 12.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) แถลงแทน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ว่า ตอนนี้ประชาชนคุ้นเคยชุดตรวจ Rapid Test จึงขอทำความเข้าใจกับประชาชน ว่า โดยปกติในโรงพยาบาลมีการใช้เฉพาะกรณีที่มีภาวะฉุกเฉินเช่นผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุ จำเป็นต้องตรวจโควิด-19 อย่างเร่งด่วน แต่ด้วยข้อจำกัดว่าการตรวจดังกล่าวมีความแม่นยำต่ำ จึงไม่มีการแนะนำให้นำมาใช้ในก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมีความต้องการการตรวจที่มากขึ้น และการติดเชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วหากจะรอผลการตรวจ 1-2 วัน อาจจะทำให้การควบคุมโรคไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการทบทวนนำชุดตรวจRapid Test ที่มีมาตรฐานที่ยอมรับได้และจะอนุญาตให้ประชาชนนำมาใช้ได้ ทั้งนี้ ชุดตรวจ Rapid Test มีหลากหลายบริษัทและมีทั้งตรวจเชื้อและซากเชื้อ หรือตรวจภูมิคุ้มกัน หรือ ชุดตรวจหาเชื้อ Antigen Rapid Test Kit ในหลักการถ้าเริ่มติดเชื้อ หรือมีเชื้อไม่มาก ผลตรวจอาจจะออกมาเป็นลบ ซึ่งจะไม่ไว และแม่นยำพอที่จะตรวจหาเชื้อได้ ซึ่งหากตรวจด้วยวิธีดังกล่าวแล้วผลออกมาเป็นลบ ขอให้อย่านิ่งนอนใจ จะต้องมีการเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่สัมผัสผู้ที่มีการติดเชื้อยืนยันก่อนหน้านี้ เพราะถือว่ามีการสัมผัสเสียงสูง โดยระหว่างที่เฝ้าระวังอาการแม้ผลเป็นลบ จะต้องแยกกักตัวเอง และจะต้องมีการตรวจผลซ้ำในวันที่ 5-7 โดยในระยะเวลาวันดังกล่าวเชื้อจะมีจำนวนมากขึ้น แต่หากมีผลเป็นบวกจะต้องเข้าสู่วิธีการรักษาที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย
พญ.อภิสมัย กล่าวต่อว่า ศบค.ขอความร่วมมือ กทม.เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่ม 7 โรคเรื้อรังหลักที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ และมีการรายงานว่าจะเร่งเพิ่มจำนวนให้เลวและขยายให้ครอบคลุมกลุ่มเพื่อติดเชื้อให้มากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ แม้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส อาจจะมีความเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อได้ แต่มีคำถามว่าถ้าฉีดวัคซีนแล้วมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้หรือไม่นั้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงแล้วว่า ยังมีความเป็นไปได้