เป็นเรื่อง เป็นราว ถูกจับไปขยายประเด็น กลายเป็น “ไฟลามทุ่ง” จากข้อมูลที่มีคน “จด” เอาจากการประชุมเฉพาะกิจร่วมคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.64
ด้วยประโยคเดียว ของท่อนที่เกี่ยวกับแผนกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส
ว่า “ขณะนี้ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 (กลุ่มด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์) แสดงว่าเรายอมรับว่า Sinovac ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น”
ก็เป็นอันตกดวงโจร ยกพวกพากันมาโหนกระแส ถล่มด่า กะจะให้ กระทรวงหมอ ล่มสลายไปเพราะ “ฟองน้ำลาย”
ทั้งๆที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ก็ออกมายืดอกรับแบบ “แมนๆ” ว่า มีการแสดงความเห็น “จริง” ในห้องประชุม
ส่วน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ก็ยืนยันว่า เป็นการแสดงความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม แต่มีคน “จด” แล้วเอามาเผยแพร่
ดังนั้น จึงไม่ใช่ “มติ” ที่ประชุม ไม่ใช่ “ข้อสรุป” ที่ต้องทำหรือไม่ทำ
สิ่งที่ “หมอหนู” และ “หมอโอภาส” ให้ข้อมูล จึงไม่มีอะไรที่ขัดแย้ง หากแต่ “เอาความจริง” มาเปิดหมดเปลือกให้คลายสงสัย
ผู้ที่เคยทำงานทุกคนจะรู้ว่า การประชุม ผู้ที่เข้าร่วมประชุม ใครใคร่จะจดอะไร จดแบบไหน ได้ทั้งหมด เป็นสิทธิ์ ของท่านนั้นๆ เพราะเป็นบันทึกส่วนตัว
แต่ๆ ถ้าเป็นบันทึกสรุปประชุมอย่างเป็นทางการ จะจัดทำโดยฝ่ายเลขาฯของการประชุมนั้นๆ มีรูปแบบ มีความเป็นทางการ และสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้
กรณีที่นำมาดราม่ากันอยู่ตอนนี้ คือ ใครก็ไม่รู้ “จด” ออกมา ไม่ใช่ “มติ”ที่ประชุม
ของจริงต้องฟังจาก ศ.เกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศบค. ที่ได้แถลงแล้วว่า ได้ศึกษาแนวทางการฉีดวัคซีนเข็ม 3 มาระยะใหญ่แล้ว
พร้อมบอกว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดชิโนแวครบ 2 เข็ม เข็มต่อไปต้องเป็นเทคโนโลยีต่างชนิด คือ แอสตร้าเซเนก้า หรือไฟเซอร์
นี่จึงจะเรียกว่า “ความจริง”
คนทำงานไม่เคยหยุดที่จะศึกษาข้อมูล และขวนขวายหาทางที่ดีที่สุดให้กับคนไทย
ฉะนั้นอย่าหา “เหตุ” มาทำลายขวัญคนทำงาน
นาทีนี้คนไทยทั้งชาติ ซาบซึ้งและกราบในความเสียสละของ “บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข”
ขอให้ท่านมั่นใจว่า “คนไทย” ทุกคน พร้อมจะลุกออกมาปกป้อง “พวกท่าน หากมีใครมา “รังแก”
อย่ายอมให้ “พวกฉวยโอกาส” ทำลายชาติ อ้างแพทย์พยาบาล แล้วออกมาป่วนเมือง
เพราะคนไทยจะสู้ไปพร้อมกัน
