ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“พอส” หนุ่มกู้ภัยหัวใจอาสาฯ ฝึกหนัก ควักทุนซื้ออุปกรณ์เอง ไอดอลของรุ่นน้องยกเป็น"ฮีโร่" ผู้เสียสละจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัว “กรสิทธิ์ ราวพันธ์” วัย 19 ปี หรือ "พอส" อาสาสมัครฯ หน่วยสมเด็จเจ้าพระยา รหัส ธน 28-18 เจ้าหน้าที่ผจญเพลิง ซึ่งเข้าไปทำหน้าที่ดับเพลิงถังเก็บสารเคมีระเบิดภายใน “บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ในพื้นที่ย่านกิ่งแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ก่อนจะประสบเหตุไม่คาดฝัน และเสียสละชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ต้องบอกว่า เป็นความสูญเสียคนหนุ่มที่มีจิตใจอาสาช่วยเหลือสังคม ผู้เสียสละอย่างแท้จริง
ผู้บังคับบัญชาของ “พอส” รหัส"ใต้ 13-81" ได้โพสต์ถึงเขาว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชา ขอให้น้องไปสู่ภพภูมิที่ดี ไปอยู่บนสวรรค์...อาสาดับเพลิงไม่มีเงินเดือน เสียสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตตัวเอง
ขณะที่ในโซเชียลฯ มีผู้แสดงความไว้อาลัยและยกย่องการทำหน้าที่ของ “พอส” อย่างมากมาย หลายคนที่เคยรู้จักกับ “พอส” ต่างประทับใจกับสิ่งที่นักผจญเพลิงผู้นี้เคยฝากไว้ โดยว่า “พอส” เป็นคนที่คอยช่วยเหลือสังคมเสมอ ทั้งงานดับเพลิง อาสากู้ชีพ ขณะที่รุ่นน้องมองรุ่นพี่อย่างพอส เป็น “ไอดอล” ของพวกเขามาตลอด เปรียบเป็น"ฮีโร่" ของน้องๆ และเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน
ว่ากันว่า “พอส” หนุ่มกู้ภัยหัวใจอาสาทำทุกอย่าง ฝึกฝนอย่างหนัก ก่อนจะได้เข้าร่วมเป็นทีมอาสาดับเพลิงในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ฟังว่า “พอส” ทุ่มเทกับหน้าที่ ใช้เงินส่วนตัวซื้ออุปกรณ์กู้ภัยเอง โดยที่ภาครัฐไม่ได้สนับสนุน ซึ่งในประเด็นนี้ก็ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้บทเรียนเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว หันมาทบทวนการบริหารจัดการ พิจารณางบประมาณช่วยเหลืองานด้านสาธารณภัยให้ดีขึ้น
แน่นอนว่า ภาพที่สังคมได้เห็นในเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และอาสาสมัครดับเพลิง มีอุปกรณ์เซฟตี้ไม่ครบถ้วน หรือมีก็ไม่ปลอดภัยเพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อการผจญเพลิงที่เกิดจากสารเคมี หน้ากากกันควันพิษจากสารเคมี ก็ควรต้องดีกว่านี้ หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ก็ขอแสดงความเสียใจ และอาลัยมายังครอบครัวของ “พอส” กรสิทธิ์ ราวพันธ์ มา ณ ที่นี้อีกครั้ง กับความสูญเสียคนสำคัญ และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ผจญเพลิงที่บาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ ทำหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อควบคุมเพลิงนานหลายชั่วโมงต่อเนื่อง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นปลอดภัยด้วยเทอญ
** “แรมโบ้”ซัด “หมอบุญ” นายทุนในคราบหมอ บิดเบือนข้อมูลถล่มรัฐบาล เพราะส่วนต่าง 3 พันล้านที่คิดคำนวณไว้จากวัคซีนโมเดอร์น่า กลายเป็น “กำไรทิพย์”
เพราะโควิดสายพันธุ์เดลต้า หรือสายพันธุ์อินเดีย กำลังแพร่ระบาดในไทย นอกจากประชาชนทั่วไปแล้วยังมีบุคลากรทางการแพทย์ ดูแลผู้ป่วยต้องติดเชื้อไปด้วย
วัคซีนที่พูดถึงกันในตอนนี้ก็คือ ไฟเซอร์ -โมเดอร์น่า ที่ว่ากันว่าสามารถเอาเชื้อโควิดเดลต้าอยู่
ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ “หมอบุญ” นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้บริหารโรงพยาบาลและธุรกิจดูแลสุขภาพ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ภาคเอกชนต้องการนำเข้าวัคซีนโมเดอร์น่า เพื่อมาเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ทำเรื่องเสนอไปแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่เซ็นสัญญาซื้อ จึงทำให้วัคซีนมาล่าช้า
เป็นการชี้ว่ารัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนล้มเหลว จึงยังไม่มี “วัคซีนทางเลือก” ทั้งที่ประชาชนมีความต้องการและพร้อมจ่าย
เรื่องนี้ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงไปแล้วว่า วัคซีนโมเดอร์น่านั้น บริษัทผู้ผลิตไม่ขายตรงให้กับภาคเอกชน แต่จะขายผ่านรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งตัวแทนของฝ่ายรัฐบาลที่จะดำเนินการคือ “องค์การเภสัชกรรม” และที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้อำนวยความสะดวก ทั้งการขึ้นทะเบียน ยา และเป็นตัวกลางดำเนินการด้านนิติกรรม เพื่อรองรับการนำเข้าวัคซีนให้แล้ว
แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ “เรื่องการเงิน” เมื่อภาคเอกชนไม่นำเงินมาวาง องค์การเภสัชฯ ก็ไม่กล้าสั่งซื้อ เพราะแบกรับความเสี่ยงไม่ไหว เพราะเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน เกิดภาคเอกชนไม่มารับซื้อต่อ รัฐบาลก็แย่
แนวทางที่ควรจะเป็นนั้นคือ หาก”หมอบุญ” ต้องการซื้อวัคซีนโมเดอร์น่า ก็ต้องไปเจรจากับ บริษัทผู้ผลิต หรือตัวแทนจำหน่าย พร้อมเคลี่ยร์ปัญหาเรื่องการเงินให้เรียบร้อย องค์การเภสัชฯ ก็พร้อมจะเป็นคนกลางดำเนินการนำเข้าให้ ...
แต่เมื่อ“จองทิพย์” เงินไม่มา โมเดอร์น่าก็เลยยังเป็น“วัคซีนทิพย์”
ล่าสุด “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงอีกรอบ พร้อมทิ่มหมัดตรงใส่ “หมอบุญ” ว่าเป็นนายทุนในคราบหมอ จ้องจะแสวงหากำไร เมื่อไม่ได้ดังใจก็เลยมาบิดเบือน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ทั้งที่รัฐบาลก็พยายามช่วยเหลือ ดำเนินการเพื่อให้มีวัคซีนทางเลือกที่หลากหลายมาตลอด
“แรมโบ้” แจงไทม์ไลน์ เกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนโมเดอร์น่า ว่า 25 ก.พ.64 ก่อนการระบาดใหญ่ องค์การเภสัชฯติดต่อไปยัง บ.โมเดอร์นา ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อสั่งจองวัคซีนกว่า 5 ล้านโดส พร้อมถามว่า จะได้ทันเดือนมิ.ย.64 หรือไม่ ... อีก 3 วันถัดมาก็ได้รับคำตอบว่า ของมีจำกัด ความต้องการสูง จะส่งได้เร็วสุด คือไตรมาสแรกของปี 65
1 เม.ย.64 องค์การเภสัชฯ สอบถามไปใหม่ว่า “โมเดอร์น่า”ได้ตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายหรือไม่ เพราะเริ่มมีผู้แสดงตัวว่า สามารถนำวัคซีนโมดอร์น่า ให้ไทยได้มากกว่า 2 ตัวแทน ทาง บ.โมเดอร์นา ตอบกลับมาว่า อยู่ระหว่างการเจรจากับ “บริษัทซิลลิค ฟาร์ม่า" ที่จะให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว และจะเร่งสรุปสัญญากับ “ซิลลิค”ให้เร็วที่สุด
15 พ.ค.64 “ซิลลิค ฟาร์มา” แถลงว่า จะขายวัคซีนโมเดอร์นา ผ่านตัวแทนภาครัฐเท่านั้น หาก รพ.เอกชน ต้องการซื้อวัคซีนจริง ก็ต้อง“วางเงิน” เพื่อให้องค์การเภสัชฯ สั่งวัคซีนจากซิลลิค ฟาร์ม่า ตัวแทนจัดหน่ายในประเทศไทย
2 ก.ค. 64 องค์การเภสัชฯเพิ่งได้รับเอกสารจาก “ซิลลิค” เพื่อแนบไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาตรวจสอบข้อสัญญา ซึ่งเป็นช่วงหลังจากวันที่ “หมอบุญ” ออกมาพูด
ไทม์ไลน์ที่ยกมาทั้งหมดไม่ใช่ว่าภาครัฐเพิ่งทำ หลังถูก “หมอบุญ” โจมตี แต่ภาครัฐได้ดำเนินการมาตลอด เพื่อให้ได้วัคซีนมาเร็วที่สุด
“แรมโบ้” ยังเผยราคาวัคซีนโมเดอร์น่า ต่อโดสว่า รพ.เอกชน จะมารับวัคซีนจากองค์การเภสัชฯในราคาโดสละ1,100บาท (รวมรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าขนส่ง ค่าประกันภัยรายบุคคล แล้ว) ขณะที่รพ.เอกชน ของ “หมอบุญ” แจ้งว่า จะคิดบริการรวมค่าฉีดวัคซีน 1,700 บาท ต่อโดส มีส่วนต่างถึงโดส ละ 600 บาท จำนวน 5 ล้านโดส ส่วนต่างก็คือ 3,000 ล้านบาท
ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ “หมอบุญ” ถึงกับออกมาโวยรัฐบาล เพราะในสถานการณ์ที่คนกำลังต้องการฉีด โมเดอร์น่า แต่กลับไม่มีของ แผนการที่หวังว่าจะทำกำไร3,000 ล้านบาท อย่างง่ายๆ สบายๆ จึงยังเป็นเพียง “กำไรทิพย์”