“แอน จักรพงษ์” ฟาดกลับ “ปวิน” หิวแสง หลังสับเละ ลามปามเรื่องส่วนตัว กรณีประกาศซื้อกิจการที่ไปต่อไม่ไหว ลั่นคอมเม้นต์ด่าหยาบ เจอที่ศาล “ไมค์ ภาณุพงศ์” เหมือนรู้ชะตา “ก๊วนแกนนำ” ถูกถอนประกัน ปลุก “3 นิ้ว” ปกป้อง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(4 ก.ค.64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็นที่กำลังฮอต “สะเทือนแน่ กระเช้าไม่รับ!? “แอน จักรพงษ์” ฟาดไม่ยั้ง “ปวิน” หิวแสงเรียกทัวร์ลง คอมเม้นต์ด่าหยาบไม่รอด เตรียมโดนฟ้อง เจอกันที่ศาล!!”
เนื้อหาระบุว่า หลังจาก “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ เจเคเอ็น ได้ออกมาโพสต์ประกาศถึงร้านอาหารหลายแห่งที่ประสบปัญหา อยากช่วยด้วยการขอเข้าซื้อกิจการ จำนวน 10 แห่ง
โดยให้อินบ็อกซ์รายละเอียดร้านเข้ามาในเฟซบุ๊ก แต่ก็มีประเด็นดรามาตามมา เมื่อมีชาวเน็ตบางรายโพสต์วิจารณ์เรื่องดังกล่าว โดยมองว่าผู้ประกอบการอาจไม่ได้อยากขายร้าน แต่อยากขายของมากกว่า การทำแบบนี้เป็นการเทกโอเวอร์กิจการ แต่ทำให้เหมือนทำบุญเหรอ เหมือนเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก รวยแล้วเลยซื้อเก็บไว้
และยังมีบัญชีทวิตเตอร์ของหนุ่มรายหนึ่ง ที่อยู่ในก๊วนม็อบ 3 นิ้ว เข้ามาด่าหยาบ กับ “แอน จักรพงษ์” และยังบอกว่า รวบซื้อกิจการในวันที่เขาอ่อนแอ อันนี้เรียกว่าช่วยเหลือเหรอ? ซึ่ง แอน จักรพงษ์ ก็โพสต์ภาพแคปข้อความจากชาวเน็ตบางส่วนที่วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ ประกาศจะฟ้องเรียกเงิน 10 ล้าน ที่ทำให้ตนเองเสื่อมเสีย จากการคอมเม้นต์ที่ไม่คิด ซึ่งงานนี้ก็มีหลายเสียงหนุนให้ “แอน จักรพงษ์” ฟ้องให้เป็นเยี่ยงอย่าง จะได้ไม่ไปด่าทอใครแบบไม่มีเหตุผลอีก
ต่อมา นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ที่ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กจาบจ้วงสถาบัน ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ตอนแรกแอบชื่นชม คิดว่าเป็นกะเทยที่เก่งด้านธุรกิจ แต่พอข้ามเพศมาแล้ว กลายเป็นบ้าบอ ขี้อวด ขี้วีน ดูถูกคนอื่น ออกรายการทุกครั้ง ต้องอวดผัวตัวเอง อวดว่าเอาเงินเลี้ยงผู้ชาย จากนั้นก็อวดความสวยของตัวเอง อธิบายเป็นฉากๆ ว่ากีของตัวเองสวยกว่ากีผู้หญิง ไปทำเลเซอร์ให้กีเป็นสีชมพู ดูรายการนางไม่เคยจบ เพราะเยอะ แปลงเพศไปแล้ว กลายเป็นจริตเลยความเป็นผู้หญิง จะบอกว่าเป็นจริตกะเทยตกค้างก็ไม่น่าใช่ เพราะไม่ใช่กะเทยทุกคนจะมีนิสัยล้นขนาดนี้
พอมีคนวิจารณ์ว่านางฉวยโอกาสช้อนธุรกิจที่กำลังจะล้มละลาย ก็ออกมาตีโพยตีพาย ทวงบุญคุณว่า เคยทำความดีให้สังคมมากมาย แถมด่าคนวิจารณ์ว่า เป็นคนเลว คือตัวเองเป็นคนดี นี่ไม่นับว่า การออกรายการครั้งนั้น ที่ลากบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้อง เอาเรื่องบนเตียงเค้ามาแฉ คือ อย่างที่บอก ข้ามเพศพันล้าน แต่ไม่มีเงินซื้อมารยาท Oh My God นางบอกนางจะเป็นนายกด้วยค่ะ โอ้ย กูขำ”
และล่าสุดทางด้าน”แอน จักรพงษ์” ได้เคลื่อนไหว ทวีตข้อความหลังจากที่นายปวินโพสต์ในเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“คนป่วยทางจิตมันอยู่ต่างประเทศ ไม่มีอะไรจะเสีย เพราะเสียไปหมดแล้วทั้งชีวิต ไม่มีงานทำ ไม่มีแผ่นดินอยู่…มันไม่หิวเหตุผลแต่หิวแสง…คนที่ช่วยไปคอมเม้นต์ซวยแทน นอกจากจะตกเป็นเครื่องมือในการสร้างแสงให้มันแล้วยังไปขึ้นศาลเสียตังค์เพราะไม่รับกระเช้านะคะ”
อย่างไรก็ตามในโพสต์ของนายปวิน ได้มีคอมเม้นต์จากคนที่ติดตาม เข้ามาด่าทอพาดพิงถึง “แอน จักรพงษ์” ด้วยถ้อยคำหยาบมากมาย จึงเป็นเหตุให้ “แอน จักรพงษ์” ตัดสินใจจะฟ้องหมิ่นประมาทด้วย
สำหรับ “แอน จักรพงษ์” ถ้ายังจำได้ เคยมีกรณีขัดแย้งรุนแรงกับ นาย ณวัฒน์ อิสรไกรศีล เนื่องจาก “แอน” ไปออกรายการหนึ่ง แล้วพูดถึงชีวิตรักและเรื่องบนเตียงแต่ดันพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม จนทำให้ “ข้ามเพศพันล้าน” อย่าง แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ถูกชาวเน็ตด่ายับถึงขั้นต้องอัดคลิปขอโทษ
โดย ณวัฒน์ ผู้ที่ไม่เคยพลาดสักกระแส ก็ออกมาโพสต์ถึงการสนับสนุนความเท่าเทียมและเนื้อหาที่หลายคนอ่านแล้วก็คาดว่าหมายถึง แอน จักรพงษ์
“ผมสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดก็ตามแต่เห็นผู้หญิงข้ามเพศที่พยายามปั้นตัวเองว่า ทั้งสวยและรวยมาก มานั่งให้สัมภาษณ์นั่งแฉเรื่องส่วนตัวและบูลลี่คนอื่นโดยใช้คำหยาบคายโอ้อวดพฤติกรรมในเรื่องแฟนบลาๆๆโดยที่บุคคลที่ถูกพาดพิงไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้เต็มๆ
คนนี้พยายามรณรงค์เปลี่ยนคำนำหน้าให้เป็นนางสาวผมว่าผู้หญิงทั้งประเทศเค้าคงไม่อยากให้ใช้เพราะผู้หญิงทั่วไปเค้าไม่ทำนิสัยแบบนี้
ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างครับยกเว้นนิสัยและความคิด
เคยมาร่วมรายการผมหลายครั้ง แต่จากนี้ไปผมขอแบนคนนี้ทุกรายการทีวีที่ผมทำไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สื่อในการเหยียดคนอื่นและโฆษณาตัวเองเกินจริงครับ และหลายรายการที่ผมรู้จักก็แบนเหมือนกัน” (5 ก.พ.64)
ทั้งนี้ แอน จักรพงษ์ มีชื่อจริงว่า จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์
เกิดในครอบครัวคนจีน เป็นลูกชายคนโตของบ้าน มีน้องสาวหนึ่งคน จบการศึกษาระดับมัธยมและ มหาวิทยาลัย ด้านรัฐศาสตร์ ที่ประเทศประเทศออสเตรเลีย
กว่าจะมาเป็น แอน จักรพงษ์ เธอลำบากมาก่อน ถึงแม้ว่าจะได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ต้องทำงานพิเศษ คือเป็นเด็กปั๊มน้ำมัน เป็นค่าเล่าเรียนและช่วยที่บ้าน
ซึ่งในสมัยเด็ก เธอมักถูกหลายๆ คนดูถูกว่า "เกิดเป็นตุ๊ดไม่มีวันเจริญและประสบความสำเร็จ" จึงเป็นแรงผลักดันให้เธอสู้และนำคำนั้นมาเป็นแรงผลักดันตัวเองและลบคำสบประมาทที่หลายๆ คนเคยดูแคลนเธอเอาไว้ จนสามารถคว้าความสำเร็จและกลายเป็นสตรีข้ามเพศหนึ่งเดียวในอาเซียนที่เป็น CEO ของบริษัทมูลค่านับพันล้าน
เธอเป็น CEO ของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและส่งออกลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากทั่วโลก มีคอนเทนต์นำเสนอทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะซีรีส์อินเดียที่ขายได้หลักพันล้าน จนหลาย คนให้ฉายา "เจ้าแม่ภารตะพันล้าน" นั่นเอง
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ไมค์ ภาณุพงศ์” ปลุก 3 นิ้วปกป้อง รู้ชะตาก๊วนแกนนำ ไม่รอด ส่อแววโดนถอนประกันตัว ชุมนุมผิดเงื่อนไขศาล”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2564 กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย เพนกวิน- พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้มีการนัดรวมพลให้มวลชนมาตั้งตลาดนัดราษฎรที่หน้าทำเนียบ โดยมีแกนนำหลักหลายคน ผลัดกันขึ้นปราศรัย ทั้งเพนกวิน, ไมค์ และตี้ พะเยา ซึ่งก็มีการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ด่าทอและกล่าวถึงเรื่องวัคซีน และบางตอนก็มีถ้อยคำที่หมิ่นเหม่ถึงสถาบันด้วย
ล่าสุดไมค์ ภาณุพงศ์ ได้ทวีตข้อความบนบัญชีทวิตเตอร์ ระบุว่า “ได้ข่าวแว่วๆ มาว่า จะโดนถอนประกัน” ทำให้มีกลุ่มมวลชน 3 นิ้ว เข้ามาคอมเม้นต์ปกป้อง ว่า ไม่อยากให้มีใครต้องเข้าไปในเรือนจำอีก พร้อมขอว่าอย่าเคลื่อนไหวกันมาก เดี๋ยวจะถูกถอนประกันจริง ๆ และยังประกาศว่าจะรวมตัวแน่นอน หากมีการเซ็นคำสั่งให้แกนนำต้องกลับเข้าคุก จะไปล่าคนนั้นถึงบ้านเลย ขณะที่อีกหลายๆ เสียง ก็บอกให้ไมค์นึกถึงแม่ตัวเองด้วย ได้ออกมาแล้ว ก็อย่าทำอะไรให้กลับไปในคุก แล้วแม่จะเสียใจ
ทั้งนี้ที่ผ่านมา บรรดาแกนนำหลายๆ คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตาพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่แกนนำออกมาร่วมม็อบ อีกทั้งทางบช.น. ก็ได้มีการรวบรวมหลักฐานในการชุมนุม การปราศรัยไว้แล้ว หากพบว่าแกนนำยังฝ่าฝืน ปลุกระดมออกมาชุมนุม ทางบช.น.จะยื่นให้ศาล ถอนประกันตัวทันที
อย่างไรก็ตาม มีคดีที่แกนนำถูกฟ้องเพิ่ม คือ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.64 พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ได้เป็นโจทก์ฟ้อง นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา หริอรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล, น.ส.เบนจา อะปัน,นายภวัต หิรัณย์ภณ และนายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
และได้ปลุกระดมเชิญชวนให้ประชาชน มาร่วมกิจกรรม สวมเสื้อผ้า คล็อปท็อบ(Crop Top) แล้วไปเดินที่ห้างฯ สยามพารากอน เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.63 โดยวันดังกล่าว จำเลยทั้ง 5 ได้สวมชุดเสื้อกล้ามเอวลอยเขียนข้อความที่แขนและบริเวณเอว ยกเลิก112 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและข้อความล้อเลียน อื่นๆ ซึ่งมีเจตนามุ่งหมายทำลายสถาบันกษัตริย์ให้เสื่อมเสียพระเกียรติ
ซึ่งทั้งคดีเก่าและคดีใหม่ที่ทยอยถูกแจ้งเอาผิด มีหลายกระทงมาก และยิ่งแกนนำออกมาม็อบ และโพสต์ข้อความจาบจ้วงสถาบันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่รอดในการทำผิดเงื่อนไขศาล และในที่สุดจะได้กลับเข้าเรือนจำ รวมทั้งในอนาคตอาจจะไม่ได้รับการปล่อยตัวอีกแล้ว เนื่องจากมีการทำผิดซ้ำซาก ไม่สำนึกและยังท้าทายกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง งานนี้ไมค์ เลยส่งสัญญาณให้กลุ่ม 3 นิ้ว เตรียมลุกฮือปกป้อง หากเหล่าแกนนำจะถูกถอนประกันตัว
แน่นอน, ประเด็นที่กำลังเดือดโซเชียลและสั่นสะเทือนวงการอยู่ในเวลานี้ ก็เห็นจะเป็น กรณี “ปวิน” ปะทะ “แอน จักรพงษ์” นั่นเอง
ยิ่ง “แม่ปวิน” ออกโรงจวกขนาดนี้ สาวกน้อยใหญ่ไม่พลาดแน่ เรื่องฝีปากที่ไม่เคยยอมใคร ต้องยกให้ “ปวิน” คนหนึ่ง
แต่การโคจรมาพบกับคู่ปรับที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่าง “แอน จักรพงษ์” ก็เลยทำให้กองเชียร์ทั้งสองฝ่าย คึกคักเป็นการใหญ่ แต่ที่จะซวยก็คือ สาวก “ปวิน” เพราะ “แอน จักรพงษ์” ประกาศชัด เจอกันที่ศาลเท่านั้น
ส่วนความหวังดีที่จะช่วยซื้อกิจการร้านอาหาร ก็สามารถมองได้ ทั้งสองด้านอยู่แล้ว คือ ทั้งช้อนซื้อช่วงที่ราคาตก และหวังดีที่จะช่วยซื้อ เพราะสถานการณ์อย่างนี้ อาจหาคนซื้อกิจการร้านอาหารยากก็เป็นได้ เพราะซื้อไปก็ไม่ได้เปิดกิจการอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คนที่ทุนหนาเท่านั้น จึงจะซื้อไปรอให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ซึ่งก็ไม่รู้วันไหน อย่างนี้ก็ถือว่า เป็นการช่วยเหลือ สำหรับคนที่ต้องการขายเอาเงินไปหมุนเวียนดำเนินชีวิต
ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ ก็ใช่ว่าจะคิดเองเออเองได้ อย่างที่หลายคนในสังคมไทยใช้ระบายอารมณ์ตัวเอง อย่างไม่รับผิดชอบ จนคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียหายไปแล้วหลายคน บางกรณีถึงขั้นหมิ่นประมาทหยาบคาย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่างนี้หากโดนฟ้องร้องเป็นคดี ก็จะต้องรับผิดชอบเอาเอง
เหนืออื่นใด การแห่วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส ที่ศาสดาไม่ชอบใครก็ไม่ชอบตาม หรือ ศาสดา ชี้เป้าใคร ก็ล่าแม่มดตาม โดยไม่มีเหตุผลเป็นของตัวเองแม้แต่น้อย กำลังน่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทย เพราะนั่นคือ การตกเป็นเครื่องมืออย่างไม่ต้องสงสัยนั่นเอง และเมื่อถูกฟ้องร้องขึ้นมา ก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรไปสู้คดีในศาล บทเรียนมีให้เห็นมากมาย อยู่ที่จะไปต่อ หรือ พอแค่นี้ก็คิดเอาเอง