สภาถกวิกฤตรับมือโควิด หามติชง รบ.จัดการด่วน ส.ส.รุมสวดสอบตก เสนอยุบทิ้ง ศบค.ไร้ประโยชน์ ทำลายเกียรติแพทย์-บี้ปรับ ครม.โละคนไร้ฝีมือ คาใจปล่อยแรงงานกลับ ตจว.ให้แพร่เชื้อเพิ่ม ขย่มต่อศึกเลือกตั้ง “พิธา” เตือนลุกเป็นไฟน้ำตาคนไทยตกถึงพื้น
วันนี้ (1 ก.ค.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา จำนวน 6 ญัตติ เรื่องขอให้สภาพิจารณาหามาตรการและแนวทางป้องกันแก้ไขและเยียวยาการระบาดของโควิดระลอก 3 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อหามติและส่งให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ประกอบด้วย 1. ญัตติของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย และคณะ 2 ญัตติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะ 3 ญัตติของ นายศิริพงษ์ ศรีษะเกษ พรรคภูมิใจไทย 4. ญัตติของนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย คณะ 5 ญัตติของ นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย และ 6 . ญัตติของ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์
โดยสภาชิกส่วนใหญ่ได้อภิปรายถึงการบริหารของรัฐบาลที่ล้มเหลว ทั้งการจัดสรรการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน การให้เยียวยารักษาประชาชนที่ติดโควิด และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย การเสนอญัตติกันทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะถือเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ต้องนำปัญหาความทุกข์เหล่านั้นมาพูดคุยกัน และต้องมีมติในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้สภาส่งไปให้รัฐบาลรับพิจารณาดำเนินการตามที่สภาเสนอไป การระบาดระลอกนี้ประชาชนทุกข์มาก ซึ่งผู้นำประเทศและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไม่เห็นคราบน้ำตาประชาชน ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ และยังมีนะจ๊ะเริงร่าอย่างกับคณะตลกบนซากศพประชาชน กลุ่มต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจภาคกลางคืน ภาคบันเทิง ร้านอาหารเดิมทุกข์หนักแล้วเหมือนโดนทุบหัวครั้งที่ 3 จนพิการ เพราะ ผอ.ศบค.ออกข้อกำหนดลักหลับตอนตีหนึ่ง ทำให้กระทบไปหมด
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การระบาดขณะนี้เป็นคลัสเตอร์ที่ใหญ่ ศบค.บอกว่า ไม่ล็อกดาวน์แต่ใช้คำพูดหลีกเลี่ยง เพราะใช้คำว่าพื้นที่ควบคุมเข้มข้นและเข้มงวดสูงสุด ดังนั้น อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะท่านคือผู้ทำลายระบบสุขภาพของประเทศ และยังทำลายเกียรติภูมิอาจารย์โรงเรียนแพทย์ด้วยมุกตลกปล่อยคำว่านะจ๊ะออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถ้าตนเป็นอาจารย์แพทย์จะประกาศลาออก เพราะข้อเสนอต่างๆ ของทางการแพทย์นั้น รัฐบาลทำหรือไม่ เลือกทำเฉพาะที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่าประชาชนโดยรวม และขอให้เปิดเผยว่าใครเสนอให้ยกเลิกการรับประทานในร้านอาหาร ซึ่งมีหลักฐานข้อมูลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ประชาชนทั้งประเทศได้รับผลกระทบทั้งหมด การประกาศข้อกำหนดปิดสถานที่ก่อสร้างและแคมป์คนงานมีเงื่อนงำ เหมือนมีเจตนาส่งต่อคนที่มีเชื้อไปต่างจังหวัด ถ้าหมดปัญญารักษาคนเหล่านี้ใน กทม. ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการส่งต่อ ขนย้ายและการขึ้นทะเบียน แต่ ศบค.ชุดนี้ไม่ทำ ใช้การผลักไส และไล่จับ ส่วนกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างต่อเนื่องโดนระเนระนาด ชะงักงัน เพราะคำสั่งปิดสถานที่ก่อสร้าง จากปัญหานี้จำเป็นต้องเสนอ ศบค. โดยเรื่องใหญ่ต้องมองระบบการแพทย์และสาธารณสุข การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสังคมและโครงสร้างเชิงเยียวยา และการบริหารจัดการของ ศบค. แต่ปัญหาของการเอาไม่อยู่ เพราะผลการบริหารงานในสถานการณ์ฉุกเฉินใน ศบค.นี่คือ ความล้มเหลวของท่านเอง และคำพูดที่ออกมาจากนายกฯ และทีมงานล้วนแต่ทำลายความเชื่อมั่นประชาชนและต่างชาติ ดังนั้น ต้องแก้ไขเรื่องช่องทางการสื่อสารให้ดี เนื่องจากล้มเหลวและสอบตก ต้องปรับโครงสร้าง ศบค. เพราะเราต้องสู้กับสงครามโรค ถ้าสองสัปดาห์ไม่มีอะไรคืบหน้า ตนเรียกร้องให้ยุบ ศบค.
“ส่วนมาตรการทางการแพทย์สิ่งที่ต้องปรับ คือ นโยบายการตรวจหาเชื้อโรคและผู้ติดเชื้อ และปรับนโยบายมาตรการการกักกันโรค รวมถึงมาตรการเรื่องวัคซีนเฉพาะหน้า และการล็อกดาวน์ หวาดกลัวผวาจนไม่กล้าตัดสินใจ ถ้าจะเอาโรคให้อยู่ ทุกคนต้องสามารถตรวจหาเชื้อด้วยตนเองได้ เพื่อแยกโรคและคนป่วยแบบไชน่าโมเดล เพื่อล็อกดาวน์ให้มีประสิทธิภาพ การจัดหาวัคซีนก็มีปัญหา เลือกที่รักมักที่ชัง สามารถจัดหาวัคซีนสองตัวที่สามารถป้องกันวัคซีนตัวอื่นไม่ให้เข้ามาในเมืองไทยได้ด้วย รายละเอียดไปว่ากันตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมทั้งขอให้ทุกวัคซีนเป็นวัคซีนหลัก ไม่ใช่วัคซีนทางเลือก ทุกคนต้องไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐ สิ่งที่จำเป็นสำหรับการบริหารวัคซีนรัฐเองต้องให้ข้อเท็จจริงกับประชาชน อย่าปิดบังและอ้ำอึ้ง ประเทศไทยควรผลิตวัคซีนใช้เองได้ รัฐบาลต้องส่งเสริม การเยียวยาต้องครอบคลุมทั่วถึง ส่วนภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ วันนี้สังเกตว่า ครม.ไม่มาตอบกระทู้ ถ้ามีหลักฐานว่ารัฐมนตรีที่ถูกถามกระทู้ในวันนี้คนใดไปร่วมงานด้วย ตนจะให้สมาชิกสภาร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเอาผิดรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญที่จงใจเจตนาไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ” นพ.ชลน่าน กล่าว
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า นายกฯมีทั้งอำนาจ งบประมาณ และเวลาในการเตรียมพร้อม แต่กลับปล่อยให้คนไทยตายกันแบบใบไม้ร่วงแบบนี้ ตัวเลขที่คนไทยฆ่าตัวตาย 90 นาที ต่อ1 คน มากสุดในรอบ 20 ปี วันนี้ประเทศไทยแย่กว่าสหรัฐฯ อินเดีย และแย่กว่าค่าเฉลี่ยเอเชียถึง 2 เท่า จึงเห็นควรยุบ ศบค. และปรับ ครม. เพื่อกลับมาสู่กลไกปกติ จะมีไว้ทำไมให้รัฐซ้อนรัฐ งบซ้อนงบ มีการสื่อสารสับสนอลหม่าน ตัดสินใจช้าสายตลอด สิ่งที่ต้องทำคือ หา รมว.ต่างประเทศ เก่งๆ เข้ามาทำเรื่องวัคซีนเพื่อติดต่อต่างประเทศ หา รมว.มหาดไทย เก่งๆ การกระจายความเสียงในช่วงโรคระบาดไม่ใช่กระจายคนออกไปข้างนอก ต้องหาวิธีตรึงคนในพื้นที่ แยกน้ำออกจากปลาให้เร็วที่สุด ต้องหา รมว.สาธารณสุข ที่รู้เรื่องระบบสาธารณสุขจริง และหา รมว.พัฒนาสังคมฯ และ รมว.แรงงาน ที่รู้เรื่องการเยียวยา เพราะการเอาเงินประกันสังคมไปเยียวยามันผิดวัตถุประสงค์ เพราะเป็นเงินของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่ถังเงินของรัฐบาล เพราะมีงบของตนเองอยู่แล้วและจะเยียวยาเฉพาะคนที่อยู่ในประกันสังคมไม่ได้ ต้องครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติ ต่อไปนี้สิทธิแรงงาน การบริหารสาธารณสุข และเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแยกไม่ออก”
นายพิธา กล่าวว่า เมื่อได้ ครม.ชุดใหม่ ปัญหาคอขวดแรกที่ต้องทลายที่สุด คือ ระบบสาธารณสุข ขณะนี้แม้มีวัคซีนไฟเซอร์มากองอยู่หลายล้านโดสก็ไม่ทันแล้ว ขนาดรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องร้องไห้ เพราะกว่าจะฉีดกว่าภูมิต้านทานขึ้น เตียงที่เต็มอยู่ขณะนี้ทำอะไรได้ ตอนที่ระบาดทองหล่อเอาวัคซีนไปฉีดลัดคิวคนสูงอายุแล้วได้อะไรขึ้นมา ผิดฝาผิดตัวไปหมด
นายพิธา เสนอ 4 วิธีการแก้ไข คือ1. สกรีนแยกผู้ป่วยจากชุมชนให้เร็วที่สุดด้วยการตรวจด้วยเครื่องแอนติเจนทุก 3 วัน โดยปูพรมตรวจด้วยทั้งประเทศ 2. ตั้งโรงพยาบาลแรกรับ แม้มีโรงพยาบาลว่าง แต่อยู่คนละสังกัดก็ไม่ส่งข้ามเขตกัน 3. มีมาตรการที่ปฏิบัติได้จริง ให้ยาไปหาคนไข้ 4. อัปเกรดห้องพยาบาล ให้มีเตียง มีอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ใช่ได้งบไป 1 หมื่นล้านบาท แต่เพิ่งซื้อเครื่องช่วยหายใจได้แค่ 37 เครื่อง ส่วนการเยียวยาต้องเยียวยาถ้วนหน้าเป็นเงินสด ยกเลิกแบบเป็นแอปพลิเคชันให้มาเสี่ยงโชคกัน หรือหากใครลดค่าเช่า ก็ให้หักภาษีย้อนหลังได้
“และที่ต้องทลายอีกหนึ่งอย่าง คือ คอขวดวัคซีน ขณะนี้ต้องเร่งหาวัคซีน mRNA 1-2 แสนโดส ให้บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ถ้าไม่ยุบ ศบค. ไม่ปรับ ครม. ก็ถึงเวลาต้องถอยให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหาร ทุกคนรักครอบครัวตัวเอง ถ้าท่านรักครอบครัวของท่าน ให้กลับไปดูแลครอบครัวท่าน ให้คนรุ่นใหม่มาแก้ปัญหา น้ำตาคนไหลมาเป็นน้ำ แต่ถ้าตกถึงพื้นที่ก็ลุกเป็นไฟได้เช่นกัน” นายพิธา กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ให้เจ้าของญัตติได้ลุกขึ้นเสนอญัตติของตนครบแล้ว นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย แต่เนื่องจากมีผู้ประสงค์อภิปรายจำนวนมาก จึงขอเลื่อนออกไปพิจารณาต่อในสัปดาห์หน้า จากนั้นได้สั่งปิดการประชุมเมื่อเวลา 18.45 น.