xs
xsm
sm
md
lg

บังเอิญ หรือ “จงใจ” ? เมื่อ “อ.ธงชัย-ก้าวหน้า-ก้าวไกล” เล่นเกมใหญ่ เข้าทาง กลุ่มแบ่งแยกดินแดน “พูโล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “สหปาตานี” (กลุ่ม PULO) เคลื่อนไหว ขอบคุณภาพ จาก TRUTHFORYOU.CO
ไปกันใหญ่! เปิด จม. “สหปาตานี” (กลุ่ม PULO) ส่งถึง ยูเอ็น โอไอซี และ อียู บีบรัฐไทย เลิกกฎอัยการศึก กม.พิเศษ คืนเอกราชแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนใต้ สอดรับ “อ.ธงชัย-ก้าวหน้า” เคลื่อนไหว “ก้าวไกล” ชงแก้ รธน.หมวด 1-2

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 มิ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “เปิด จม.สหปาตานีส่งถึง UN จับตา “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ?? จากชลิตาแก้มาตรา 1 ถึง “อ.ธงชัย-ก้าวหน้า” สู่ก้าวไกลรื้อ รธน.หมวด 1-2
#สหปาตานี #ส่งจดหมายถึงUN #แบ่งแยกดินแดน”

โดยเนื้อหาจาก TRUTHFORYOU.CO ระบุว่า จากรณีที่มีการเผยแพร่เอกสารที่ระบุว่า ประธานองค์กรปลดปล่อยสหปาตานี หรือ พูโล (Patani United Liberation Organisation, PULO) นายกัสตูรี มะห์โกตา ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงองค์กรสหประชาชาติ (UN) องค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) และ สหภาพยุโรป โดยมีผู้รับเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ นาย Antonio Guterres เลขาธิการโอไอซี Dr.Yusef bin Ahmad Al-Othaimeen และประธานสภายุโรป นาย Charles Michel เรียกร้องให้ยูเอ็น โอไอซี และ อียู กดดันรัฐบาลไทยให้ยุติการบังคับใช้กฎอัยการศึกและกฎหมายพิเศษที่ปาตานี และดำเนินการอำนวยเอกราชให้แก่ประเทศหรือชาติที่ตกเป็นอาณานิคม ตามมติสมัชชาสหประชาชาติ 1549 (XV) ในวันที่ 14 ธันวาคม 1960

แถลงการณ์ที่เกิดขึ้นของกลุ่ม PULO ซึ่งเดิมได้ลดบทบาทลงไปแล้ว แต่ปัจจุบันเริ่มที่จะมีความเคลื่อนไหวอีก ก็เป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถานการณ์ใหม่ หรือความปกติใหม่ (ที่ไม่ปกติ) ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเนื้อหาดังนี้

“พูโลและข้าพเจ้าขอแสดงความวิตกกังวลต่อประเด็นที่ถูกลืมที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งหนึ่งของโลกที่ถูกลืมเช่นกัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สวยงาม เขียวขจี และอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกหลายๆ แห่ง ผู้คนที่อยู่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มีระดับจริยธรรมสูง แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขายังเป็นเป้าหมายของการกดขี่และสิทธิของพวกเขาก็ถูกปฏิเสธด้วย พวกเขาเป็นเหยื่อของการล่าอาณานิคมในดินแดนปาตานี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนของประเทศไทยและมาเลเซีย

ปาตานีเคยมีอธิปไตย แต่หลังจากการลงนามสนธิสัญญากรุงเทพฯ (Anglo-Siamese Treaty) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1909 ระหว่างรัฐบาลไทยกับอังกฤษ ปาตานีสูญเสียอธิปไตยและต้องอยู่ภายใต้การควบคุมคอบระบอบปกครองของไทย

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การเจรจาสันติภาพระหว่างขบวนการปลดปล่อยปาตานีกับรัฐบาลไทยเกิดขึ้นมาหลายรอบแล้ว แต่ไม่เคยบรรลุผลสำเร็จใดๆ เนื่องจากขาดความจริงใจ การเล่นการเมืองบน “โต๊ะเจรจา” เป็นอุปสรรคสำหรับการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ชาวปาตานีที่เป็นเหยื่อ และได้สร้างบรรยากาศแห่งการลอยนวลสำหรับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงของไทยด้วย

ความพยายามต่างๆ เพื่อฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพไม่เคยประสบความสำเร็จ ความจริงแล้วกระบวนการเจรจาถูกนำมาใช้เพื่อยืดเยื้อสถานการณ์ปัจจุบันที่ฝ่าฝืนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ

ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เพื่อประกันให้การพูดคุยสันติภาพดำเนินบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกรอบเดียวที่สามารถรับรองแนวทางแก้ไขอันยุติธรรมและยั่งยืนต่อความขัดแย้งได้ ด้วยเหตุนี้ พูโล-องค์กรปลดปล่อยสหปาตานี-หวังว่า สหประชาชาติ (ยูเอ็น) องค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) และสหภาพยุโรป (อียู) จะสามรถให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการแสวงหาแนวทางแก้ไขอันยุติธรรม ครอบคลุ่มและยั่งยืนต่อความขัดแย้ง

พวกเราขอเรียกร้องให้ยูเอ็น โอไอซีและอียู
– กดดันรัฐบาลไทยให้ยุติการบังคับใช้กฎอัยการศึกและกฎหมายพิเศษที่ปาตานี

– ดำเนินการอำนวยเอกราชให้แก่ประเทศหรือชาติที่ตกเป็นอาณานิคม ตามมติสมัชชาสหประชาชาติ 1549 (XV) ในวันที่ 14 ธันวาคม 1960

ภาพ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร จากแฟ้ม
ทางด้าน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ดังกล่าว ว่า หลายปีที่ผ่านมา หลายฝ่ายเชื่อว่าได้มีความพยายามของกลุ่มบุคคลและองค์กร ที่จะยกระดับปัญหาใน จชต.ในเวทีนานาชาติ ความพยายามดังกล่าว อาศัยแนวทางเรื่องสิทธิมนุษยชนและการกำหนดใจตนเอง ที่องค์กรสากลและหลายประเทศสนใจสนับสนุน เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน เป้าหมายระยะสั้น คือ การกดดันและต่อรองในเรื่องการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ผ่านกระบวนการพูดคุยและอื่นๆ

นักวิชาการด้านความมั่นคง กล่าวต่อไปว่า ระยะยาว คือ การโน้มน้าวชักจูงให้ประชาชนในพื้นที่ ลงมติเรียกร้องและผลักดันให้มีการแบ่งแยกดินแดน หรือจัดตั้งเขตปกครองตนเอง หรือเขตปกครองพิเศษ ผ่านกระบวนการสร้างสันติภาพที่นานาชาติและองค์การสากลเหล่านั้นจะช่วยบริหารจัดการ

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหลักในการไปดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น แต่ปัจจุบัน มีพลวัตใหม่ๆ ทั้งในพื้นที่ จชต. ตลอดจนในระดับชาติและนานาชาติ เกิดขึ้นอีกหลายปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้แนวทางการยกระดับเหล่านี้ขยายตัวขึ้น

ภาพ ธงชัย วินิจจะกูล จากแฟ้ม
และที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2564 คณะก้าวหน้า ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน (นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นเลขาธิการ) ได้เปิดสอนตามโครงการ คอมมอน สคูล (Common school) จัดบรรยายหลักสูตร วิชาประวัติศาสตร์นอกขนบ รายวิชาย่อย สยามยุคกึ่งจักรวรรดิกึ่งอาณานิคม ซึ่งในตอนที่ 2 นี้ ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ Wisconsin Madison สหรัฐอเมริกา บรรยายในหัวข้อ “เสียดินแดนหรือจักรวรรดิสยามได้ดินแดน”

โดย ธงชัย เริ่มต้นการบรรยายโดยการพูดถึงการบ้านที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ไปค้นคว้ามา กรณีการที่ประเทศไทยหรือสยามเสียดินแดนทั้งหมดกี่ครั้ง ก่อนจะสรุปในช่วงนี้ว่า เรื่องการเสียดินแดนที่ข้อมูล จำนวนครั้ง ต่างกัน เพราะประวัติศาสตร์การเสียดินแดนใช้มโนทัศน์ย้อนเวลาไปอธิบายอดีตอย่างผิดฝาผิดตัว ผิดยุคสมัย จึงตีความได้หลายแบบ มโนทัศน์ที่ใช้กับข้อเท็จจริงไม่เข้ากัน จึงไม่มีหลักเกณฑ์นับ ที่ค้นมาจึงเปลี่ยนได้หมด เพราะไม่ใช่เรื่องข้อมูลประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องจินตนาการจะรักชาติ หรือภาษาวิชาการคือมั่ว โมเมเอา ส่วนที่ระยะหลังเชื่อว่าเสียดินแดน 14 ครั้ง เพราะอิทธิพลของสื่อสมัยใหม่ อินเทอร์เน็ตต่างๆ ซึ่งน่าสังเกตว่า ความรักชาติทำให้เรื่องการเสียดินแดนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็เพราะไม่มีหลักเกณฑ์นี้เองจึงเปิดโอกาสให้จินตนาการได้ไม่จำกัด เรื่องการเสียดินแดนเป็นเรื่องเหลวไหล สมควรต้องสงสัย โดยเฉพาะที่บอกว่า 14 ครั้ง นั้นงอกมาจากไหน แล้วทำให้คนเชื่อกันหมด นักวิชาการชาตินิยมทั้งหลาย หากเชื่อว่าสยามเสียดินแดน อยากให้มีหลักเกณฑ์ทางวิชาการด้วย...

อย่างไรก็ตาม จากการวิจารณ์ของ “ทุ่นดำ-ทุ่นแดง” ในเฟซบุ๊ก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชัดเจนถึงเป้าหมายที่ “ธงชัย” ต้องการพูดถึง นั่นคือ การเสียดินแดนจริง หรือ จินตนาการนั้น ผูกโยงในความหมายของการ ล่าอาณานิคม ไม่ต่างจากชาติตะวันตก “ประเด็นน่าคิดจากข้อโต้แย้งทางวิชาการดังกล่าวก็คือ การตีความ “จักรวรรดิสยาม” นั่นเอง”

ที่น่ายกมาให้เห็น ธงชัย มองว่า ประวัติศาสตร์ฉบับทางการมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยการจินตนาการไปเองว่า สยามเป็นชาติเก่าแก่มีขอบเขตดินแดนที่ชัดเจนมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

แต่ในแง่ความเป็นจริง ธงชัย เสนอว่า เขตแดนที่ชัดเจนของ “ชาติไทย” นั้น แท้จริงแล้วเริ่มปรากฏ “ภูมิกายา - Geo-Body” ผ่านการทำ “แผนที่ฉบับทางการ” ครั้งแรกของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่เอง (แผนที่ฉบับพระวิภาคภูวดล - McCarthy) จากการที่สยามมีแผนที่ฉบับทางการ เป็นผลให้สยามมี “ภูมิกายาที่ชัดเจน” มาตั้งแต่บัดนั้น

ทั้งนี้ แผนที่ฉบับทางการที่เพิ่งทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ได้ถูกนำไปใช้ในการอธิบายย้อนกลับไปในยุคโบราณ ทำให้ดูราวกับว่า สยาม “สูญเสีย” ดินแดนไป

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ สยามเองก็ไม่ได้มีจิตสำนึกเรื่องดินแดน เขตแดน การเสียดินแดน (หรือจิตสำนึกรูปร่างของชาติ-ประเทศไทยที่เป็นภาพของขวานทอง) อยู่เลย

ธงชัย อธิบายต่อไปว่า ภูมิกายาของสยามที่แผ่ขยายไปไกลถึงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในเขตลาวและกัมพูชา หรือทางใต้ที่แผ่ไกลสุดไปยังแดนมลายูในไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ล้วนแล้วแต่เป็นการทึกทักกันเอาเองของสยามฝ่ายเดียว โดยที่เจ้าท้องถิ่นและชาติมหาอำนาจตะวันตก ไม่ได้เห็นชอบหรือรับรู้ด้วย...
ทั้งนี้ ยังมีเรื่องของ “เจ้าอาณานิคมสยาม” หรือการมองสยามเป็นเจ้าอาณานิคม ที่ทำให้มีช่องต่อสู้ของ “สหปาตานี” (กลุ่ม PULO) ว่ารัฐไทยยึดครองดินแดนของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม “ทุ่นดำ-ทุ่นแดง” ได้โต้แย้งประเด็นเจ้าอาณานิคมของสยามว่า เป็น “การผนวกดินแดน” มิใช่ “ล่าอาณานิคม” แบบ ตะวันตก และสยามก็มีดินแดนชัดเจนก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 รวมทั้งเคยเสียดินแดนจริง (รายละเอียดติดตามจากเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn)...

อีกด้านหนึ่ง พรรคก้าวไกล ได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในหมวดที่ 1 ซึ่งเป็นหมวดทั่วไป และหมวดที่ 2 ที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายรวมถึงข้อเสนอ 10 ข้อของนักศึกษาที่ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยนั้น โดยทางพรรคเพื่อไทย ก็ได้มีจุดยืนในการแก้รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน แต่จำกัดไม่ให้แก้หมวด 1 หมวด 2 ตามแนวทางของพรรคก้าวไกล...

ภาพ การเคลื่อนไหวของ 7 พรรคฝ่ายค้าน ในสามจังหวัดภาคใต้ จากแฟ้ม
นอกจากนี้ หากย้อนไปในอดีต ชลิตา บัณฑุวงศ์ เป็นหนึ่งในนักวิชาการเคลื่อนไหวคัดค้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ปี 2557 ทั้งยังสนับสนุนให้แก้มาตรา 1 เพราะเขาคิดว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยอาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ซึ่งการแก้ มาตรา 1 ก็เท่ากับ การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชอาณาจักร เป็น สหพันธรัฐ และมีการพูดถึงรัฐไทยใหม่ โดยแกนนำ นปช. นำไปสู่การเคลื่อนไหวใต้ดินของบรรดาคนเสื้อแดง เพื่อแยกประเทศ โดยแยกภาคเหนือ อีสาน เป็นอีก 1 ประเทศ

ในเวทีสัญจรภาคใต้ ที่จังหวัดปัตตานี ของ 7 พรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 28 กันยายน มีตัวละครใหม่โผล่มา นั่นคือ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

ภาพ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ ขอบคุณภาพ จาก LINE TODAY
ในการเสวนาร่วมกับหัวหน้า 7 พรรคฝ่ายค้าน ดร.ชลิตา กล่าวว่า ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากเน้นว่า ความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาอย่างได้ผล เพราะเอื้อต่อการสร้างการมีส่วนร่วม การคุ้มครองเสรีภาพ ฉะนั้น ภายใต้ระบอบ คสช. สถานการณ์ชายแดนใต้ไม่มีทางดีขึ้น และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาชายแดนใต้ได้ ทั้งนี้ สาเหตุหลักเป็นผลพวงของความรู้สึกถึงความไม่ชอบธรรม ความคับข้องของคนที่รู้สึกว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง การใช้กฎหมายพิเศษของรัฐ รวมถึงเรื่องแนวคิดและอุดมการณ์เรื่องการแบ่งแยกดินแดน และต้องการอิสรภาพ ทั้งหมดมีความเกี่ยวพันกับปัญหาอื่นๆ ทั้งปัญหาทางสังคม ความยากจน การแบ่งแยกระหว่างผู้คน ซึ่งความไม่สงบทำให้ปัญหาเหล่านี้มีความรุนแรงมากขึ้น โดยที่รัฐมีแนวทางแก้ปัญหา คือ 1. การใช้กำลังทหารและตำรวจ ในการรักษาความมั่นคง 2. การพัฒนาพื้นที่คุณภาพชีวิต และ 3. การส่งเสริมทางสังคมวัฒนธรรม เราพบว่าแนวทางดังกล่าวมีปัญหามาก ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของกองทัพ ซึ่งอันที่จริงไม่ควรเป็นงานด้านความมั่นคง แต่ทหารกลับมามีอำนาจและมีบทบาทในทุกด้าน

อย่างไรก็ตาม หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตการเคลื่อนไหวในรูปแบบใหม่ของ กลุ่มสหปาตานี ที่ประจวบเหมาะกับช่วงที่พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ที่พยายามจะแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และมีการเปิดโรงเรียนสอนประวัติศาสตร์ตามแนวทางของตัวเองด้วย

แน่นอน, บังเอิญว่า คณะก้าวหน้าเคลื่อนไหวโครงการ “คอมมอน สคูล (Common school)” สอน “ประวัติศาสตร์นอกขนบ” ซึ่งอ้างเป็นหลักสูตร “ตลาดวิชาอนาคตใหม่”

ทว่า ถ้าติดตามให้ดี จะเห็นได้ชัดว่า เป็นความพยายามที่จะหาเหตุผลทางประวัติศาสตร์ จากนักวิชาการฝ่ายเดียวกัน ที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน มาหักล้างความเชื่อทางประวัติศาสตร์เดิม โดยเฉพาะที่เกี่ยวพันกับสถาบันทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างน่าจับตามอง เพราะอาจมีผลไม่มากก็น้อยในทางความคิดกับคนรุ่นใหม่นั่นเอง

แล้วก็บังเอิญเช่นกัน ที่พรรคก้าวไกล เคลื่อนไหว แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่เว้นหมวด 1 (ทั่วไป) และ หมวด 2 (เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์) เช่นกัน

ทั้งยังบังเอิญว่า คณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล เห็นด้วยและสนับสนุนม็อบคณะราษฎร 63 ในการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน”

ที่บังเอิญไปกว่านั้น วันนี้ พวกเขาได้ “เปิดช่อง” ให้ “สหปาตานี” (กลุ่ม PULO) บีบรัฐไทย ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก กม.พิเศษ และคืนเอกราช (ปกครองตนเอง) ของจังหวัดชายแดนใต้ ตามหลักสูตร “ประวัติศาสตร์นอกขนบ” ที่ชี้ว่า สยามเป็นเจ้าอาณานิคม ที่ได้ดินแดน?

มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า???


กำลังโหลดความคิดเห็น