วันนี้ (16 มิ.ย.) นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยในเสวนาหัวข้อ แท็กซี่บุคคลผ่านแอปฯ vs แท็กซี่เดิม ความคาดหวังของผู้บริโภค ผ่านแอปพลิเคชัน Clubhouse ของสื่อมวลชน The Transport Talk เมื่อช่วงค่ำวันที่ 15 มิ.ย. 2564 ว่า ที่ผ่านมา ขบ.มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาและยกระดับบริการของรถแท็กซี่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และสะดวกสบายกับผู้โดยสาร โดยหาแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาดูแลให้ผู้ขับรถแท็กซี่ปฏิบัติตามกฎหมาย ป้องกันการโกงมิเตอร์ ปฏิเสธผู้โดยสาร หรือการขับรถเร็ว
ทั้งนี้ จึงเริ่มมีการนำจีพีเอส มาติดในรถแท็กซี่และนำมาพัฒนาแอปพลิเคชัน TAXI OK พร้อมเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารให้รถแท็กซี่เพื่อให้สอดรับกับต้นทุนค่าจีพีเอสที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยเหตุผลด้านการเมืองในขณะนั้นทำให้กรมการขนส่งทางบกไม่สามารถปรับขึ้นค่าโดยสารได้ จึงทำให้กลายเป็นภาระต้นทุนของผู้ขับรถแท็กซี่
ขณะเดียวกัน จากนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดมาตรการเร่งด่วนในการช่วยแท็กซี่ หาทางยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ และลดภาระต้นทุน โดยได้ขยายอายุการใช้งานรถแท็กซี่ จาก 9 ปี เป็น 12 ปี และเข้มงวดในการตรวจสภาพรถแท็กซี่ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงให้กรมการขนส่งทางบกพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมากำกับติดตามรถ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้แท็กซี่ใช้งานฟรี ลดต้นทุนค่าจีพีเอส ให้กับแท็กซี่ รวมถึงเปิดโอกาสให้โฆษณาบนแท็กซี่ และเพิ่มค่าบรรทุกสัมภาระสำหรับรถแท็กซี่สนามบิน รวมถึงมาตรการเปิดรับผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน
แต่การเปิดให้แท็กซี่รับผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน ของภาคเอกชนที่ผ่านมา แม้จะได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้โดยสาร แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายใดๆ เข้ามารองรับหรือควบคุมกำกับดูแล ทำให้เกิดปัญหา เช่น การเก็บค่า GP แพง การคิดอัตราค่าโดยสารโดยไม่มีการควบคุม ดังนั้น นายศักดิ์สยาม จึงเร่งรัดให้ผลักดันกฎหมายกำกับดูแลรถแท็กซี่บุคคลเรียกผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้มีเครื่องมือในการกำกับดูแลให้อยู่ภายใต้กฎหมาย
โดยกรมการขนส่งทางบก จึงได้เสนอ (ร่าง) กฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. … ซึ่งหลักการสำคัญ คือให้รถยนต์ส่วนบุคคล สามารถนำมาใช้ในการรับจ้างขนส่งผู้โดยสาร หรือเป็นแท็กซี่ประเภทหนึ่ง โดยจะต้องมีการทำประกันภัยสาธารณะ, ผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ, มีการสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตัวรถต้องตรวจสภาพปีละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับรถแท็กซี่มิเตอร์ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้มีการศึกษาอย่างดีว่าในหลายประเทศก็มีการกำหนดกฎหมายในลักษณะเดียวกันกับของไทย คือ กำหนดให้รถแท็กซี่บุคคลเหล่านี้ ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่น ก็ต้องมีการขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ
นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก และสวนดุสิตโพล ยังได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้บริการรถส่วนบุคคลเรียกผ่านแอปพลิเคชันของประชาชน พบว่า ประชาชนที่ทำการสำรวจให้การตอบรับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันมากกว่า 97% กรมฯ จึงมองว่าจำเป็นต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน ก็ได้หาแนวทางช่วยเหลือแท็กซี่มิเตอร์ที่จะได้รับผลกระทบไปพร้อมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการยกระดับบริการขนส่งสาธารณะให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชนในยุคดิจิทัล และสอดคล้องกับแนวทาง Sharing Economy หรือการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการ ตามแนวทาง Sharing Economy ซึ่งกรมการขนส่งทางบก ได้วางหลักเกณฑ์ในการดูแลให้ความเป็นธรรมกับแท็กซี่ทุกประเภท
สำหรับกรณีต้นทุนของรถแท็กซี่ป้ายดำที่ต่ำกว่าแท็กซี่มิเตอร์ ชี้แจงว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางบก กำลังเร่งหาแนวทางแก้ปัญหาต้นทุนที่แตกต่างกันของแท็กซี่ทั้ง 2 รูปแบบ สิ่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ การสนับสนุนให้เกิดการขนส่งผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการหาแนวทางให้แท็กซี่ป้ายเหลืองที่ใช้แอปพลิเคชัน สามารถเก็บเงินค่าโดยสารได้ตามที่แอปพลิเคชัน คำนวณได้เลย ในลักษณะเดียวกับรถแท็กซี่บุคคล ไม่ต้องเก็บตามเลขมิเตอร์ แล้วบวกเพิ่ม 20 บาท ซึ่งอาจเป็นการทำให้แท็กซี่ป้ายเหลืองรู้สึกว่าเสียเปรียบในแง่ของรายได้ และยังมีความยืดหยุ่นในการให้บริการมากขึ้น
นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก อยู่ระหว่างการพิจารณาเกณฑ์การจดทะเบียนรถแท็กซี่ใหม่ โดยอาจไม่กำหนดขนาดรถยนต์ที่ใช้เป็นแท็กซี่มิเตอร์ว่าจะต้องเป็นรถขนาดกลางขึ้นไป เพื่อให้มีทางเลือกมากขึ้นและมีต้นทุนที่ใกล้เคียงกับรถแท็กซี่บุคคล เบื้องต้นอาจมีการกำหนดให้มีรถแท็กซี่ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ รองรับความต้องการของผู้บริโภค และสร้างความเป็นธรรมด้านต้นทุนของแท็กซี่ทั้ง 2 แบบให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด
ด้าน นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การมีแท็กซี่บุคคลเรียกผ่านแอปฯ ที่ถูกกฎหมาย ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้บริการขนส่งสาธารณะให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์กับประชาชน ขณะเดียวกันก็เห็นใจกลุ่มแท็กซี่มิเตอร์ ที่ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่มีผู้โดยสาร และขาดรายได้ ทำให้การผลักดันเรื่องแท็กซี่บุคคลผ่านแอปพลิเคชั่น คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ทั้งนี้ มองว่าเรื่องสำคัญ คือ การทำให้กติกาต่างๆ มีความเท่าเทียม และเป็นธรรม โดยเฉพาะแท็กซี่ทั้ง 2 รูปแบบ ทั้งในเรื่องโครงสร้างต้นทุน และ การกำกับดูแลจากรัฐที่เท่าเทียมกันระหว่างแท็กซี่มิเตอร์ดั้งเดิม และ แท็กซี่ส่วนบุคคลเรียกผ่านแอปฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้แท็กซี่ทั้ง 2 ประเภท สามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม
ขณะที่ นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ กล่าวว่า แท็กซี่ส่วนบุคคลเรียกผ่านแอปฯ ได้เข้ามาให้บริการโดยผิดกฎหมายมานานกว่า 5 ปีแล้ว แต่กรมการขนส่งทางบก และตำรวจ ก็ยังไม่สามารถนำกฎหมายมาควบคุมเอาผิดได้ ทำให้ต้องแก้ปัญหาโดยการออกกฎหมายมารองรับ เพื่อให้สามารถควบคุมรถแท็กซี่ป้ายดำได้ แต่การเห็นชอบ (ร่าง) กฎกระทรวงดังกล่าว และนำมาบังคับใช้ในช่วงเวลานี้มองว่าไม่เหมาะสมและรู้สึกเหมือนถูกรังแก เพราะขณะนี้แท็กซี่มิเตอร์ ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19
โดยแท็กซี่ในระบบที่มีอยู่กว่า 100,000 คัน เหลือวิ่งรับผู้โดยสารจริงไม่ถึง 30,000 คันเท่านั้น ที่เหลือต้องจอดทิ้งเพราะไม่มีผู้โดยสาร และหากในอนาคตแท็กซี่มิเตอร์ป้ายเหลืองต้องหมดไป เพราะแข่งขันในตลาดไม่ได้ แล้วผู้โดยสารที่ใช้แอปฯไม่เป็นจะทำอย่างไร นอกจากนี้ยังไม่เชื่อมั่นในกลไกการควบคุมแท็กซี่ป้ายดำของรัฐบาลว่าจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันมองว่า หากมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการกำหนดอัตราค่าโดยสาร แล้วแท็กซี่ยังจำเป็นต้องมีมิเตอร์อยู่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากจะทำให้แท็กซี่ทั้ง 2 รูปแบบนี้ อยู่ด้วยกันได้ จำเป็นต้องจัดการต้นทุนค่ารถ และ ค่าโดยสารให้เกิดความเป็นธรรมเท่าเทียม อาจปรับเงื่อนไข กฎหมายของแท็กซี่ดั้งเดิมให้แข่งขันได้ ส่วนตัวมองว่า 90% ของแท็กซี่มิเตอร์ดั้งเดิม เข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชั่น และไม่ได้ปฏิเสธการใช้งาน เพียงแต่คัดค้านเรื่องของรถที่จะนำมาให้บริการ ควรเป็นรถป้ายเหลืองที่ถูกกฎหมายเท่านั้น
ด้าน นายวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ กล่าวว่า สมาคมฯ จะเดินหน้าคัดค้านและอุทธรณ์มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่อนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. … เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมานั้น ผิดและขัดต่อพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ห้ามเด็ดขาดการเอารถยนต์ส่วนบุคคลมารับจ้าง ซึ่งแม้ภายหลังจดทะเบียนก็ยังให้ใช้ป้ายรถยนต์ส่วนบุคคล จึงเป็นการใช้รถยนต์ผิดประเภทผิดกฎหมาย โดยสมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ จะมีการหารือกับเลขานุการนายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขออุทรณ์มติครม.ดังกล่าวอีกครั้ง
นายชัยรัตน์ พรสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการขนส่งทางบก เปิดเผย สถิติการร้องเรียนรถแท็กซี่ ที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 2562 และ 2563 พบว่าข้อร้องเรียนที่มีมากที่สุด คือ การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร รองลงมาคือใช้วาจาไม่สุภาพ และขับรถประมาทหวาดเสียว ไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลง แต่ในปี 2564 สถิติการร้องเรียนลดลงจากปัญหาโควิด -19 และข้อร้องเรียนเรื่องการขับรถประมาทหวาดเสียว กลายเป็นข้อร้องเรียนที่มากที่สุด รองลงมาคือการใช้วาจาไม่สุภาพ และการปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร
ส่วนการดำเนินการกับรถส่วนบุคคลที่ให้บริการผิดกฎหมาย ที่ผ่านมา ในปี 2562-ปัจจุบัน กองตรวจการขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการจับกุมรถดังกล่าว ข้อหา ผิด พ.ร.บ. รถยนต์ โดยการใช้รถผิดประเภท ดำเนินการเปรียบเทียบปรับรายละ 2,000 บาทไปแล้วเกือบ 2,000 ราย ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า ที่ผ่านมา กฎหมายไม่ได้ออกแบบมารองรับบริการรูปแบบใหม่ ทำให้เกิดช่องว่างในการใช้กฎหมายกำกับดูแล ซึ่งได้พยายามหาข้อกฎหมายในการเอาผิด โดยตั้งแต่ปี 62-64 ได้แจ้งความเอาผิดบริษัทแอปฯเรียกรถส่วนบุคคลแล้ว 8 คดี และดำเนินการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว 4 คดี ยังเหลือระหว่างดำเนินการ 4 คดี ซึ่งหากมีกฎหมายมากำกับดูแลโดยตรงก็จะมีเครื่องมือในการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น
ด้าน นายไบรอัน ตริยถาวรวงศ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บอนกุ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ปัญหาการธุรกิจขนส่งทั้งหมดต้องแก้ด้วยเทคโนโลยี เช่น ปัญหาด้านความปลอดภัย และ การเพิ่มจำนวนลูกค้าให้กับแท็กซี่ ซึ่งก็มีการพิสูจน์มาแล้วในหลายประเทศ โดยภาครัฐจะเข้ามาควบคุมมาตรฐานการบริการ คุมค่าโดยสาร ดูแลความปลอดภัย และกำกับกฎเกณฑ์ต่างๆ กับบริษัทที่เข้ามาเพื่อให้มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย