หน.ก้าวไกล ซัดไม่เชื่องบ 65 พาประเทศพ้นวิกฤต ชี้ยังจัดงบแบบเก่า แนะพรรคร่วมอยากได้งบคืนต้องคว่ำร่างฉบับนี้ อย่าพูดเป็นราชสีห์แต่ลงมติเป็นหนู ประเทศได้ทหารต้องอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 17.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนมีคำถามว่าทุกท่านเชื่อหรือว่างบ 3.1 ล้านล้านบาท จะนำพาประเทศ และประชาชน ออกจากวิกฤตที่หนักหนานี้ได้จริงๆ เราอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบการสาธารณสุขไทย ที่อนาคตอาจมีโรคใหม่ๆมาท้ายทาย เราอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบทุนนิยมไทย ถ้าเรายังปล่อยประเทศไว้แบบนี้ สิ่งที่จะตามมาคือคนชั้นชนนำจะรวยขึ้น ชนชั้นล่างจะจนลง ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องยอมรับความจริง ว่าเราไม่อาจใช้ชุดวิธีคิดแบบเดิม แล้วคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่ได้ อะไรที่ใช้ได้ในอดีตไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ต่อไปในอนาคต ในยุคสมัยใหม่ตนไม่คิดว่าการจัดทำงบประมาณจะซ้ำซากไร้จินตนาการ และไม่เชื่อว่างบครั้งนี้จะทำให้ประเทศของเราไปได้อีกต่อไป ตนอ่านรายละเอียดงบจบ บอกได้เลยว่าไม่มีความหวัง ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะพ้นจากวิกฤต หากไม่มีการปรับเปลี่ยนการจัดทำงบประมาณ ประเทศไทยจะฟื้นหรือฟุบวัดกันที่งบประมาณฉบับนี้ หากพรรคก้าวไกลจัดทำงบจะเอาประชาชนเป็นที่หนึ่ง เริ่มจากคนที่เปราะบางที่สุดของสังคมไทย แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะงบที่เป็นสวัสดิการประชาชน ถูกตัด 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนภาคเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดในประเทศ คือ ภาคเกษตรกรรม ที่คนยากจนต้องมาแบกรับความเสี่ยงจากดินฟ้าอากาศ ไม่ว่ายุคสมัยไหนพี่น้องเกษตกรกรก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจัง
นายพิธา กล่าวว่า ส่วนปี 65 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศจากโควิด-19 สิ่งที่รัฐบาลต้องคิด คือวัคซีนเข็มที่ 3 ไม่ใช่แค่เข็ม 1 และ 2 รัฐบาลประมาทเลินเล่อมาหลายครั้ง การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของไทยยังห่างไกลความเป็นจริง คำถามสำคัญคือประเทศไทยจะฟื้นฟูได้อย่างไร หากงบกระทรวงสาธารณสุขยังถูกปรับลด 4 พันล้านบาท งบบัตรทองถูกปรับลด 2 พันล้านบาท เราควรสร้างสวัสดิการประชาชนธรรมดากับข้าราชการ ไม่ให้แตกต่างกันมากแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นเรื่องของสิทธิที่จะเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา และการทำมาหากินอย่างเท่าเทียมกัน นับจากวันนี้เราจะปล่อยให้เรื่องขออนาคตเป็นเรื่องของคำพูดราคาถูกไม่ได้ ถึงเวลาที่เราต้องรดน้ำที่ราก เพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้ประเทศไทย
“ประเทศจะเปลี่ยนได้ทหารต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่ใช่พลเรือนอยู่ภายใต้ทหาร งบกลาโหม งบกองทัพ งบอาวุธยุทโธปกรณ์ แบบสมัยสงครามเย็นต้องถูกยกเลิก กองทัพต้องเลิกจัดงบมาทำสครามกับประชาชน เพื่อปราบปรามคนเห็นต่างทางการเมือง กองทัพต้องเลิกซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็นในวันที่โรงพยาบาลขอรับบริจาคเครื่องช่วยหายใจ งบทหารต้องไม่เบียดเบียนสวัสดิการพลเรือน โดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ประชาชนต้องการวัคซีนมากกว่ากระสุน แต่ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมมักอ้างว่างบจัดซื้ออาวุธ เป็นงบผูกพันกับต่างประเทศจึงตัดไม่ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
“ผมอยากฝากไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ที่ทุกคนร่วมอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์การตัดงบสาธารณสุข งบศึกษาธิการ สวัสดิการต่างๆ ถ้าท่านอยากได้งบคืนให้ประชาชนของท่าน ข้อเสนอระยะสั้นของผม คือ ส.ส.ต้องร่วมกันคว่ำร่างงบ 65 เพื่อจะได้ใช้งบ 64 ไปพลางก่อน หรือที่ท่านอภิปรายมา 2 วัน 3 คืน เป็นเพียงลิเกโรงใหญ่ ผมได้ยินแว่วๆ หลังจากอภิปรายวิพากษ์ความเหลวแหลกมา 3 วัน ก็ยังจะลงมติเห็นชอบ แสดงให้เห็นว่าเป็นลิเกโรงใหญ่ ท่านอภิปรายอย่างกับราชสีห์แต่ลงคะแนนอย่างกับหนู ผมในฐานะหัวหน้าพรคก้าวไกลไม่อาจรับรองให้งบ 65 ฉบับนี้ผ่านไปได้” นายพิธา กล่าว