วันนี้(31 พ.ค.)นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ กล่าวว่า ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของรัฐบาลขณะนี้คือ มีวัคซีนก็มีปัญหา ไม่มีก็มีปัญหา สาเหตุก็มาจากการที่รัฐบาลแก้ปัญหาให้ยุ่งเหมือนลิงแก้แหมาตลอด ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากวางแผนวัคซีนที่มีแต่แผนหนึ่งไม่มีแผนสองและไม่ฟังใคร ทั้งที่ทุกสถานการณ์วิกฤติควรมีการออกแบบความเป็นไปได้เผื่อไว้เสมอ อย่างกรณีของวัคซีน หากประเมินจากอาการของรัฐบาลตอนนี้ ขอสรุปว่าแนวโน้มของวัคซีนแอสตราฯอาจไม่มาเต็มจำนวนของยอดเดือนมิถุนายนตามแผน จึงต้องมีการจัดหามาทดแทน ส่วนหนึ่งก็เป็นวัคซีนชิโชแวค ซึ่งพอได้รับเสียงวิจารณ์มากก็ต้องนำเข้าตัวอื่น แต่เมื่อหาไม่ได้ก็ต้องยอมให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มเข้ามาโดยไม่ต้องผ่านองค์การเภสัช แต่สิ่งที่ตามมาคือ ขณะทุกคนต่างต้องการวัคซีนไปแก้ปัญหาในพื้นที่ ทำให้ อบจ. เทศบาล พากันจองซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพราะแม้จะพลาดในล็อตนี้ แต่เมื่อทางนี้สามารถนำเข้าได้ก็รอล็อตต่อไปเพื่อขอจัดซื้อตามคิวที่จองเอาไว้ก็ดูจะมีหวังได้วัคซีนเร็วกว่า
“สถานการณ์แบบนี้เท่ากับประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลก็ยังคงต้องบริหารจัดการ เพราะหากปล่อยไปยอมให้ซื้อหากันเองได้เต็มที่ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังบริหารวัคซีนแบบปล่อยให้เกิดระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ท้องถิ่นไหนมีงบประมาณก็มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อน แม้ว่าความจำเป็นอาจไม่เร่งด่วน ขณะที่พื้นที่เร่งด่วนอาจไม่มีงบประมาณก็ได้ ดังนั้น ขณะนี้รัฐบาลมีเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจคือ จะสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยปลดล็อกให้ท้องถิ่นสามารถจัดซื้อวัคซีนเองได้หรือไม่ เนื่องจากได้มีการอ้างอิงคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ยังไม่สามารถให้ท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนโดยตรงกับผู้ผลิตได้ เนื่องจากเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและป้องกันเหตุที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงข้อกฎหมายอื่นๆเกี่ยวยาและการควบคุมโรคระบาดวิกฤติ ซึ่งหากปลดล็อกถนนทุกสายก็จะแห่ไปที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ทันที”
นายธวเดช กล่าวว่า ในเรื่องนี้รัฐบาลต้องวางหลักการและตั้งเข็มทิศเกี่ยวกับท้องถิ่นให้ดี โดยหลักการแล้ว ตนเห็นด้วยกับการเปิดให้ท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารจัดการทางนโยบาย ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีการจัดสรรงบประมาณลงไปอย่างเพียงพอและมีอิสระในการใช้งบประมาณ ไม่ว่าจะเพื่อการศึกษา สาธารณสุข หรืออื่นๆ รวมถึงการจัดซื้อวัคซีนทั่วไปเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่ก็ต้องทำได้ เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้า เป็นต้น แต่ในกรณีที่เป็นวิกฤติแบบนี้ รัฐจะต้องรวบอำนาจนี้เข้ามาเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย รวมถึงต้องการจัดการจัดสรรวัคซีนเพื่อกระจายไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งต้องมีวัคซีนที่รวดเร็วและเพียงพอ
“แต่ในกรณีนี้รัฐบาลต้องยอมรับว่า ผิดพลาด คือไม่สามารถบริหารแผนวัคซีนได้จนเกิดเป็นวิกฤติศรัทธาที่ยากจะดึงกลับมาได้แล้ว มีเพียงทางเดียวที่ต้องทำคือต้องปลดล็อกให้ท้องถิ่นและเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาเองได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของท้องถิ่น จะต้องเป็นลักษณะของการทยอยปลดล็อกอย่างค่อยเป็นค่อยไป คือต้องเป็นการปลดล็อกให้พื้นที่นำร่องตามระดับสีความรุนแรง ดูจากแนวโน้มทางการระบาดวิทยา และประเมินจากการเกิดขึ้นของคลัสเตอร์ต่างๆ อย่างภาคใต้ที่มีคลัสเตอร์โรงงานในอำเภอจะนะ ทางท้องถิ่นสงขลาก็ควรได้รับการจัดคิวในการปลดล็อกในกลุ่มพื้นที่นำร่อง เพื่อให้อย่างน้อยยังเป็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ทำให้เกิดระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา และสามารถอธิบายต่อสังคมได้ด้วยเหตุผล ซึ่งเชื่อว่าท้องถิ่นต่างๆและประชาชนจะยอมรับการจัดลำดับคิวเพื่อซื้อวัคซีนทางเลือกแบบนี้ได้ และอีกทางหนึ่งคืออยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทำคือ ช่วยอำนวยการเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้โดยเร็ว โดยมีเงื่อนไขว่าเอกชนที่ได้วัคซีนไปมีพันธกิจที่จะต้องกันวัคซีนจำนวนหนึ่งออกมาสำหรับแจกจ่ายฟรีให้กับพื้นที่ของตน เพื่อไม่ทำให้วัคซีนทางเลือกเป็นของคนที่มีโอกาสเลือกเท่านั้น แต่ต้องเป็นวัคซีนที่เพิ่มโอกาสให้กับทุกคนได้ ”นายธวเดช กล่าว