ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ไฟต์บังคับ “ลุงตู่” ควรต้องทำให้ชัดเสียที ปัญหา BTS ที่ทวงหนี้ไม่ได้-ค่าโดยสารไม่ลงตัว ลุงป๊อก-กทม. ปล่อยจนบานปลาย
ข่าวสะพัดว่า กระทรวงมหาดไทย โดย “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย จะเสนอเรื่องการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสัมปทานส่วนต่อขยาย ไปถึง 30 ปี เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในวันอังคารที่ 1 มิ.ย.นี้ มีความเห็นขึ้นมาพลันจากคนที่ไม่เห็นด้วยว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ ประชาชนกำลังประสบปัญหาเดือดร้อนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบไปอีกหลายปี ทำไมจึงเร่งรีบปิดจ๊อบ ?
แน่นอนว่า การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เกี่ยวพันไปเฉพาะแต่ปัญหาของรัฐกับเอกชนผู้ได้สัมปทาน แต่เงื่อนไข “ค่าโดยสาร” ก็เป็นประเด็นที่จะมาถึงผู้บริโภค คนกรุงเทพฯ
โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค บอกว่า ถ้ากรุงเทพมหานคร ยืนยันใช้ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีเขียว 65 บาทตลอดสายนั่นเป็นราคาที่สูงเกินไป ทำให้ประชาชนส่วนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนนี้ได้
มิหนำซ้ำ มองว่าที่ผ่านมา กทม.ขาดความโปร่งใส ปกปิดข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจ และไม่มีการรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วนในการดำเนินการ และปล่อยปละละเลยให้ภาคเอกชนทวงหนี้ 30,000 ล้านบาท
เรื่องนี้ ในหลักการ “เมื่อเป็นหนี้ ก็ต้องจ่าย” มองในมุมของ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ที่ไม่นานมานี้ ขึ้นจอภาพของรถไฟฟ้าขึ้นข้อความทวงหนี้รัฐบาลบ้าง ก็จะเห็นผ่านถ้อยความที่ระบุว่า
“ตามที่กรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ค้างชำระค่าจ้างเดินรถกว่า 10,000 ล้านบาท ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลอีก 20,000 ล้านบาท สำหรับการให้บริการเดินรถในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร
บริษัทได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถบริการเดินรถให้กับประชาชนได้ แม้จะไม่ได้ชำระค่าจ้าง ทั้งยังจะมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเราขอ…กราบวิงวอน ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้โปรดแก้ไขปัญหานี้ด้วย
ส่วนประเด็น “ค่าโดยสารแพง” สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) อธิบายไว้หลายครั้งว่า อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างที่กระทรวงคมนาคมประเมินว่า ราคาสูงสุดที่ 50 บาทต่อเที่ยวก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่การคำนวณดังกล่าวยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายบางส่วนเข้ามา เช่น งานโยธาและงานระบบ รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างที่สัมปทานเดิมยังไม่หมด
ทุกวันนี้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายของ BTS ยังขาดทุนอยู่ราว 5-6 พันล้านบาทต่อปี แม้ว่าค่าโดยสารสูงสุดจะอยู่ที่ 59 บาท เพราะฉะนั้นค่าโดยสารสูงสุดที่ 50 บาทต่อเที่ยว ไม่มีทางเป็นไปได้
ว่ากันว่า “เรื่องหนี้และค่าโดยสาร” ผู้บริหารของ กทม. ตีกรรเชียงหนีปัญหามาหลายรอบ โดยโยนให้เป็นเรื่องของ ครม.ที่จะต้องตัดสินใจ
ทางออกเรื่องนี้จึงถูกผลักภาระมาที่ มหาดไทย และรัฐบาลลุง ซึ่งฝ่าย BTS ยกว่า ยึดตามคำสั่งของ คสช. เมื่อเดือน เม.ย. 62
โดยหากไม่สามารถตกลงกันได้ BTS จะดูว่าสิทธิตามสัญญาและตามกฎหมายทำอย่างไรได้บ้าง หลังจากที่บริษัทได้ทำหนังสือทวงหนี้ 2-3 ครั้งแล้ว เพราะท้ายที่สุด หากต้องเข้าสู่ชั้นศาล หรือจำเป็นต้องหยุดเดินรถ ประชาชนจะได้รับทราบก่อน
เรื่องนี้คาราคาซังมานาน เมื่อทุกคนรอคำชี้แจงจาก กทม. แต่ กทม. ไม่เคยชี้แจง “ลุงป๊อก” ก็อ้ำๆ อึ้งๆ ทำตัวเป็น “เสือเงียบ” ไม่แก้ปัญหา ปล่อยจนสังคมสงสัยมีนอกมีในอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่ ผลประโยชน์ของประชาชนอยู่ตรงไหน ?
ถ้าทุกอย่างเป็นไปแบบแฟร์ๆ โปร่งใส ตอบคำถามประชาชนได้ ทั้งเรื่องต่อสัมปทาน และค่าโดยสารที่เหมาะสม เอกชนทำธุรกิจร่วมการงานกับรัฐไม่ถูกเอาเปรียบ ประชาชนก็น่าจะยอมรับได้
ไฟต์บังคับที่ “ลุงตู่” ควรต้องหาทางเคลียร์ให้ชัด เอาให้จบเรื่องนี้เสียที
** มารู้จัก “ซ้อสมทรง” บ้านใหญ่แห่งกรุงเก่า ที่ “ท่านใหม่” ยกมือเชียร์จะนำวัคซีนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มาฉีดให้ประชาชน
ตามที่ได้บอกไปว่า เหมือนฝนยามแล้งจริงๆ หลัง “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” ยกระดับสถานะ มีอำนาจที่จะซื้อวัคซีนทางเลือก ซึ่งเบื้องต้นเป็นวัคซีนของ “ซิโนฟาร์ม” จากเมืองจีนมาฉีดให้ประขาชนก็มีปรากฏการณ์ความต้องการจะขอให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นตัวกลางจัดสรรวัคซีนให้ตามมา จากหลากหลายองค์กร ทั้งเอกชน และองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ
เรียกว่า ถนนทุกสายมุ่งหน้าไปที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กัน ไม่รอวัคซีนของรัฐบาลที่จะจัดสรรให้ เพราะ ส่วนใหญ่มองว่า “ไม่แน่ไม่นอน” ว่าจะมาเมื่อไหร่
มีตัวอย่างท่ามกลางกระแสความหวังของวัคซีนที่ไม่ต้องรอนาน ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “ซ้อสั่งลุย ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ตลอดจนชาวบ้านของจังหวัด พระนครศรีอยุธยาเลยโชคดี” ระบุว่า ต้องขอขอบคุณแทนคนอยุธยา (ซ้อ) “สมทรง พันธ์เจริญวรกุล” นายก อบจ. พระนครศรีอยุธยา ได้จองวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” จาก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (รอการปลดล็อก จากกระทรวงมหาดไทย) เพื่อให้คนอยุธยารวมถึง ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา จะได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สั่งซื้อกันฟรีๆ ฟรีแน่นอนครับ ท่านนายก อบจ “ซ้อสมทรง” บอกว่าฟรี ก็ต้องฟรีซิครับ อย่าหาเศษ หาเกิน คิดเงินกันกับชาวบ้าน ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ถ้าท่านนายกอบจ. สมทรง รู้เรื่อง โดนตีหัวแบะ แน่นอนครับ
ตอนนี้เพียงแต่รอมหาดไทย ต้นสังกัด “ปลดล็อก” เท่านั้น อย่าช้าครับ ท่าน มท. 1 ชาวบ้านชาวอยุธยารอฉีดวัคซีนกันอยู่ครับ ขอบคุณท่านนายก อบจ อยุธยา “ซ้อสมทรง พันธ์เจริญวรกุล” ที่เตรียมงบประมาณก้อนใหญ่ เพื่อสนับสนุน อุดหนุน วัคซีน จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อให้คนอยุธยาได้ฉีดกันฟรีๆ คนทำดี ข้าราชการในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำดี ก็ต้องเชียร์กันหน่อย
ถามไถ่กันว่า “ซ้อสมทรง พันธ์เจริญวรกุล” ที่ท่านใหม่กล่าวถึงเป็นใคร ก็ต้องบอกว่า “พันธ์เจริญวรกุล” นี้เป็นครอบครัวนักการเมืองโดยแท้ เพราะเล่นการเมืองทั้งระดับชาติ และท้องถิ่น ตั้งแต่ทั้งลูกชาย ลูกสาวไปยันลูกเขย “ซ้อสมทรง” เองก็ครองเก้าอี้นายก อบจ.อยุธยา มาแล้วหลายสมัย
ว่ากันว่า หลังสิ้น “มนตรี พงษ์พานิช” อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม การเมืองในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็อยู่ใต้ร่มเงาตระกูล “พันธุ์เจริญวรกุล” หรือทุกวันนี้ถูกยกให้เป็น “บ้านใหญ่อยุธยา”
“ซ้อสมทรง” เป็นชาวสำโรง ต.สำโรง อ.หนองแค จ.สระบุรี ครอบครัวทำธุรกิจค้าไม้ และค้าวัสดุก่อสร้าง สร้างฐานะจนขยายอาณาจักรธุรกิจเข้ามาที่ อ.วังน้อย อาทิ ปั๊ม ปตท.หลายแห่งในอยุธยา
“ซ้อสมทรง” เข้าสู่วงการเมืองเพราะสามีผลักดันเริ่มจากผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็เป็น “หัวคะแนน” คนสำคัญของ “มนตรี พงษ์พานิช” ในพื้นที่ อ.วังน้อย นั่นเอง
จากนั้นมา “ซ้อสมทรง” ก็ว่ายเวียนอยู่ในสังเวียนการเมืองท้องถิ่นมาตลอดหลายสิบปี แม้ว่าจะมีช่วงที่เคยปฏิเสธจะเล่นการเมืองแล้วแต่ ซ้อสมทรง บอกว่า มีประชาชนตามตื๊อ ขอให้ลงเล่น จึงตัดสินใจลงสมัคร อบจ.ครั้งหลังสุด
ที่ผ่านมา หลังจากสามีเสียชีวิตลง “ซ้อสมทรง” ต้องดูแลลูกทั้ง 6 คน ทำธุรกิจส่วนตัว และรับเหมา แทนสามีทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นทั้งมารดา และ นักการเมืองอย่างชนิดที่ไร้คู่แข่งมานาน
“ซ้อสมทรง” จึงได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่นหญิงแกร่งคนหนึ่ง แกร่งแค่ไหนคงต้องถาม “ลุงตู่” ดู เพราะว่ากันว่าครั้งที่ ลุงยก ครม.สัญจรไปที่อยุธยา ท่ามกลางการห้อมล้อมของนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และขั้วตรงข้ามคอยต้อนรับ แต่กลับไม่มี “ซ้อสมทรง” บ้านใหญ่แห่งกรุงเก่าปรากฏตัวแม้แต่เงา