ศิษย์เก่าจุฬาฯ ไม่ขอโทษร่วมม็อบ กปปส. ตอบโต้แถลงการณ์ “ก๊วนเนติวิทย์” ชี้ รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ลักหลับ “นิรโทษสุดซอย” ช่วย “ทักษิณ” จับคู่ฟัด “ทนายเล็ก-บูด” นัก กม. เด็กเมื่อวานซืน จานเพี้ยน “เพนกวิน-ดร.นิว” ให้เขาหลอกเอง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 พ.ค. 64) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในฐานะนิสิตเก่าจุฬาฯ รุ่นปี 2512 โพสต์เฟซบุ๊ก กรณีองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ที่มี นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ ขอโทษที่เคยสนับสนุนการชุมนุมของ กปปส. เมื่อปี 2556 ระบุว่า
“ไม่ขอโทษ
เราเป็นคนหนึ่งที่ออกมาร่วมในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลปู ด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครบังคับ และไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากใครให้ออกมาไล่รัฐบาลปู เพื่อให้ใครเป็นนายกฯ เราทำทุกอย่าง อย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน ไม่มีการทำไอโอ ไม่มีแผนซับซ้อนหลอกลวง
แม้แต่แกนนำ กปปส.เอง ที่เป็น ส.ส.ก็ลาออกจากความเป็น ส.ส.และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่หลังม็อบ
รัฐบาลที่ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ รัฐบาลที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย นิรโทษกรรมทุกความผิดย้อนหลัง เป็นกฎหมายลักหลับที่รับไม่ได้
พวกเราจึงออกมาชุมนุมต่อต้านพฤติกรรมที่ผิดนั้น การชุมนุมของ กปปส.ไม่ได้มีอะไรที่ผิด เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ถูกกระทำ จากก๊วนโจรที่ลอบทำร้ายผู้ชุมนุม จนมีผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน การชุมนุมของพวกเราไม่ได้ทำเพื่อสนับสนุนใครเป็นนายกฯ หรือส่งสัญญาณให้ทหารยึดอำนาจ
เราชาวจุฬาฯที่ออกมาร่วมชุมนุม ไม่ได้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัย ไม่มีองค์การบริหารหรือสโมสรนิสิตจุฬาฯมาร่วมกับเรา แต่เราคือนิสิตเก่าจุฬาฯที่รักชาติ เราทำแต่กรรมดี เราไม่ได้ทำอะไรผิด ที่จะต้องขอโทษ และไม่ต้องให้ใครมาขอโทษ มาสำนึกผิดอะไรแทนเรา ไม่มีใครมีสิทธิมาขอโทษแทนเรา
ใครจะทน ใครจะไม่ทน ไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ใช่กบเลือกนาย
หากเราจะเป็นไดโนเสาร์ เราก็เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ ไม่ใช่พวกกินหญ้า
ปล. พี่ๆ น้องๆ ชาวจุฬาฯที่เคารพรัก หากเห็นด้วยกับผม ช่วยกันแชร์ หรือเปลี่ยนเป็นชื่อของท่านได้เลยครับ”
ทั้งนี้ แถลงการณ์องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีสาระสำคัญ ระบุว่า
“การสนับสนุนกลุ่มการเมือง กปปส. นั้น เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพของคนไทยจนถึงแก่น แม้ผู้มีส่วนผิดอ้างว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าว ยังความอัปยศอดสูต่อมาสู่เกียรติประวัติของสถาบันการศึกษาอันเก่าแก่แห่งนี้
องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอแสดงความสำนึกผิดและขออภัยต่อประเทศชาติและประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ข้อความระบุว่า
“ปฏิรูปสติปัญญาของตัวเองให้ดีก่อน!! ทนายเล็ก ฉะ “นัก กม.เด็กเมื่อวานซืน” คิดจะปฏิรูปบ้านเมือง ฝึกใช้ กม.ให้เป็นก่อน?! หลงเชื่ออาจมสติแตก ยุสามกีบให้โง่เหมือนตัวเอง!
#ทนายเล็ก #ม็อบสามกีบ #นักกฎหมาย”
พร้อมรายละเอียดจาก https://truthforyou.co ระบุว่า
“จากกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร ว่า 7 ปีรัฐประหาร หยุดวงจรรัฐประหารด้วย 4 ปฏิรูป ครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 รัฐประหารครั้งล่าสุดในราชอาณาจักรไทย เราจะหยุดยั้งวงจรรัฐประหารที่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องจัดการปฏิรูป 4 ด้าน ได้แก่ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และปฏิรูปศาลและองค์กรอิสระ
ต่อมา น.ส.วรพรรณ เบญจวรกุล หรือ ทนายเล็ก หนึ่งในแกนนำกลุ่มชาวขอนแก่นปกป้องสถาบัน ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
“นักกฎหมายเด็กเมื่อวานซืน จะปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปศาล ช่วยไปปฏิรูปสติปัญญาความสามารถของตัวเองให้ได้…ให้ดีก่อน…เถอะ ไปฝึกใช้กฎหมายให้เป็น ตีความกฎหมายให้เก่งให้แตกฉาน ศึกษารูปคดีให้ดี ไม่พาพรรคพวกเฉียดคุกเสี่ยงตะรางเหมือนที่ผ่านๆ มา ให้ได้ก่อน ค่อยมาคิดปฏิรูปสี่เรื่องที่เรียกร้อง
งานในด้านที่ตัวเองร่ำเรียนมายังทำไม่ได้…ยังล้มเหลว นี่จะยังคิดมาเรียกร้องจะให้ปฏิรูปสถาบัน รัฐธรรมนูญ ศาล กองทัพ ทั้งที่สถาบัน รัฐธรรมนูญ ศาล กองทัพ ทุกองค์กร อยู่บนแนวทางที่ดีอยู่แล้ว ภายใต้กฎกติกาสากลที่มีมาตรฐานดีอยู่แล้ว โง่ แล้วยัง จะมาเรียกร้องให้พวกสามกีบทำในสิ่งที่โง่เหมือนตัวเอง ของดีๆ อยู่แล้วจะมาเปลี่ยนแปลงอะไร?
ตัวเองบ้าบอ สติไม่ดี จะให้คนดีๆ ไปบ้าๆ บอๆ เหมือนตัวเอง ไอ้คนที่เชื่ออาจม…สติแตก นี่ก็โง่ไปกับอาจมด้วย น่าจะดูออกว่า อาจมสติแตกมองเซ…เดดซิเออ….นี่มันเพี้ยนเหมือนสมศักดิ์เจียม….สองคนนี้มันมีปัญหาด้านสมอง ก็ยังไปเชื่อคำพูด จานเพี้ยนสองคนนี้ได้….ซิเออ”
นอกจากนี้ เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH เช่นกัน โพสต์ข้อความระบุว่า
“สืบเนื่องจากกรณีที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำคณะราษฎร โพสต์ข้อความตอบโต้หลังจากที่มีคนถามว่า “นี่ขนาดอุทิศตนให้ประวัติศาสตร์แล้วหรอ กวิ้น 7 ปีนี่ต้องเรียนจบแล้วมั้ย เอาเวลาสรรหาถ้อยคำนี้ไปเรียนให้จบเถอะ”
โดย เพนกวิน โต้ตอบว่า “คือถ้าพ่อมึงไม่จับกูเข้าคุกกูก็เรียนจบไปแล้วอ่ะจ่ะ ดร็อปเพราะเข้าคุกมาสองเทอมแล้ว”
จากนั้น ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นดังกล่าว โดยมีรายละเอียดว่า
“ปัญหาน่าจะอยู่ที่ตัวของเพนกวินเองมากกว่า เพราะผู้ใหญ่ อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, สุรชัย (ปวิน) ชัชวาลพงศ์พันธ์ และผู้ใหญ่อีกหลายๆ คน เขาก็สู้มาก่อนเพนกวินทั้งนั้น แต่ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ติดคุกเหมือนกับเพนกวิน? ตรงกับสุภาษิตว่า อะไรนะ? คนอะไรเป็นเหยื่อของคนอะไรนะ?”
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ศุภณัฐ ยังได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ถึงเหตุผลที่เรียนจบพร้อมเกรดสูงสุดในภาควิชา ซึ่งเป็นการตอกกลับว่า
“ตอนเรียนธรรมศาสตร์ พอดีว่าผมไม่ได้ตกเป็นทาสทางความคิดของใคร ไม่ได้ถูกหลอกใช้ทางความคิดโดยอาจมที่บิดเบือนล้างสมองนักศึกษา ให้ไปทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง ผมจึงเรียนจบด้วยเกรดสูงสุดในภาควิชา ได้รับพระราชทาน “รางวัลเรียนดีทุนภูมิพล” หรือ “รางวัลเข็มภูมิพล” ส่วนใครทำตัวเอง เอาตัวเองไปติดคุกติดตะราง ในขณะที่แม้แต่อาจมซึ่งเป็นเจ้าของความคิดชั่วๆ ยังไม่ยอมลงมือกระทำเองเลย ก็ต้องลองพิจารณาตัวเองและคิดทบทวนดูแล้วแหละว่า อาจมเหล่านั้น เห็นนักศึกษาเป็นอะไรกันแน่?”
อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/49546/?anm
แน่นอน, นี่คือ การตอบโต้ชนิดหมัดต่อหมัด ไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างเชื่อมั่นในแนวทางต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทยอยู่เวลานี้
โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างแนวคิด “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” กับ “เสรีประชาธิปไตย”
ระหว่างคนรุ่นเก่า ที่ยังมีความผูกพันกับรากเหง้าที่ฝังลึกของความเป็นไทย กับ คนรุ่นใหม่ ที่ถวิลหาเสรีภาพและประชาธิปไตยในแบบตะวันตก และพยายามสลัดตัวเองออกจากรากเหง้าความเป็นไทย ไปสู่ความเป็นสากล ด้วยข้ออ้างไทยล้าหลัง งมงาย ตกเป็นทาส ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่ หรือคนรุ่นเก่า จึงมองเด็กรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นปัญหาสังคม บ่อนทำลายสถาบันหลักของประเทศ เป็นทาสทางความคิดของคนบางกลุ่มที่ต้องการ “ล้มเจ้า” และเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด
ประเด็นก็คือ ทั้งสองแนวทางการต่อสู้มันคือ เส้นขนาน และไม่มีทางมาบรรจบกันได้ ตราบที่ทั้งสองแนวคิด ยังมีคนสองฝ่ายให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน แม้ว่าบางฝ่ายจะไม่อาจเท่าเทียมกับอีกฝ่ายก็ตาม แต่มันได้ฝังรากลงไปเรียบร้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลก ที่จะเห็นว่า ทุกการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ว่าของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะถูกตอบโต้จากอีกฝ่ายในทันทีทันควัน จากนั้นก็ตามด้วย สงครามบนสื่อโซเชียล ปฏิบัติการ “ล่าแม่มด” หรือ ทัวร์ลง จนหลายคนแทบหาที่ยืนในสังคมไม่ได้ ถ้าไม่มีเกราะกำบังที่แข็งแกร่งเพียงพอ รวมทั้งการประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตด้วย
ถ้าหากยังขืนเป็นอยู่เช่นนี้ เหลือก็แต่ฟางเส้นสุดท้ายจะมาถึง แล้วความเสียหายอันใหญ่หลวงก็จะตามมา เราต้องการเช่นนั้นหรือ คิดดูให้ดี!?