รองโฆษกรัฐ เผย นายกฯห่วงสั่งเร่งควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ เข้มกันลอบเคลื่อนย้าย ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณามาตรการเยียวยา กำชับบังคับใช้กม.ป้องทำประมงผิดกม.ตามพันธกรณีระหว่างประเทศเข้มงวด ดูแลภาคส่งออกควบคู่ประมงพื้นบ้าน
วันนี้ (23 พ.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค-กระบือ ใน 35 จังหวัด ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยมีโค-กระบือ ป่วยกว่า 6,763 ตัว จึงกำชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ไขปัญหาการควบคุมโรค ตามมาตราการที่กรมปศุสัตว์กำหนด ไม่ว่าจะเป็น ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค-กระบือ, ป้องกัน และควบคุมแมลงพาหะนำโรค, รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ รวมถึงการจัดหาวัคซีนเพื่อควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน
สำหรับโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค-กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นายกรัฐมนตรี จึงเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ ยิ่งเป็นช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งต้องเพิ่มความรอบคอบในการทำงาน มีความรัดกุมในการดำเนินมาตรการควบคุมโรค โดยให้มีแนวทางปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยเกษตรกร โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณามาตรการช่วยเหลือ เยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานราชการ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค-กระบือ เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก พร้อมกับเข้าใจถึงแนวทางการรับมือ ควบคุมและป้องกันโรคอย่างถูกต้อง
“นายกฯยังกังวลถึงการลักลอบเคลื่อนย้ายโค-กระบือ จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทย อันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำโรคเข้ามาเพิ่มในประเทศไทย รวมถึงการลักลอบเคลื่อนย้ายภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้โรคแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ กรณีมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายให้ปฏิบัติตามตามแนวทางการเคลื่อนย้ายที่กรมปศุสัตว์กำหนด จึงย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจตราอย่างเข้มงวด หากพบการกระทำความผิด ให้ดำเนินคดีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาและมาตรการป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าให้บังคับใช้กฎหมายที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วให้เข้มงวด และต่อเนื่อง เพราะการดำเนินงานการที่เข้มงวดได้ จะส่งผลสำคัญต่อทั้งภาพลักษณ์ และความสามารถในการส่งออกอาหารทะเลของประเทศไทยในระยะยาว
“สภาพัฒน์ได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงข้อมูลว่าการส่งออกของไทยได้กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักๆ นายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับให้มีการการดำเนินทุกมาตรการที่จะสนับสนุนการส่งออก ซึ่งอาหารทะเลเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทยด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แต่นายกรัฐมนตรีก็ย้ำว่า การดำเนินการตามกฎหมายต่างๆ จะต้องทำควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบต่อประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของประชาชน โดยให้มีกลไกการแก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบที่มีทุกภาคส่วนเข้ารวมทั้งประชาชน ประชาสังคม ภาครัฐ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาครอบคลุมประเด็นที่รอบด้าน สร้างความเชื่อมั่นต่ออาหารทะเลไทยของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ไปพร้อมกับการทำประมงที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ในหลายด้าน เช่น การปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 17 ฉบับ การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย โดยมีการบริหารจัดการจำนวนเรือประมงเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณทรัพยากรประมง การออกใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์และใบอนุญาตทำการประมงนอกน่านน้ำ มีการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงให้เป็นไปตามกฎระเบียบทั้งในและระเบียบระหว่างประเทศ บังคับใช้กฎหมายด้วยมาตรการทางปกครองควบคู่กับการใช้บทลงโทษทางอาญา การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยมาตรการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไปยังแหล่งที่มาของสัตว์น้ำ
ตลอดจนจัดระเบียบแรงงานประมง โดยมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของคนประจำเรือและป้องกันการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ปราบปรามการค้ามนุษย์ และดำเนินมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU-Free Thailand)