ศบค.เห็นชอบแนวทางป้องกันโควิดรับเปิดเรียน 4 จว.แดงเข้ม เน้นเรียนออนไลน์ เปิด 3 ช่องทางฉีดวัคซีน เริ่ม 7 มิ.ย. วาระแห่งชาติฉีดทั้งระบบ โฆษกรัฐยัน on site ดีกว่า walk in ไม่เป็นภาระให้เดินทางมารอ สธ.ดูความเหมาะสมวัคซีนที่ใช้กับต่ำกว่า 18
วันนี้ (21 พ.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ว่า สำหรับแนวทางป้องกันโควิด-19 ในการเปิดการเรียนการสอนภาคเรียนที่ 1 ประจำปี 2564 ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบเน้นการเรียน ออนไลน์ และออนแอร์ได้ในจังหวัดสีแดงเข้มใน 4 จังหวัด จัดการเรียนการสอน 4 แบบ โดยเลือกตามความเหมาะสม เฉพาะรูปแบบ ออนแอร์ ออนไลน์ ออนดีมานด์ ออนแฮนด์ (ส่งทางไปรษณีย์) ไม่อนุญาตจัดการเรียนการสอนแบบออนไซด์ (การเรียนที่โรงเรียน หรือการเรียนที่ห้องเรียนกับคุณครู) ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด 17 จังหวัด และพื้นที่ควบคุม 56 จังหวัด จัดการเรียนการสอน 5 แบบ คือ ออนแอร์ ออนไลน์ ออนดีมานด์ ออนแฮนด์ (ส่งทางไปรษณีย์) ออนไซด์ โดยจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม และให้โรงเรียนประเมินความพร้อมและผ่านการประเมินด้วย เพื่อให้นักเรียนและผู้ปกครองมั่นใจ
นพ.ทวีศิลป์ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทาง คือ1. จองผ่านหมอพร้อม อายุต่ำกว่า 60 ปี เปิดบงทะเบียน 31 พ.ค. 64 2. ลงทะเบียน ณ จุดบริการ (on site registration) และ 3. กระจายวัคซีนให้กลุ่มเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่ด่านหน้า ครูนักธุรกิจและนักเรียน พร้อมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายให้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งนี้ ในวันที่ 7 มิ.ย.เป็นต้นไป จะเป็นวันดีเดย์เริ่มการฉีดวัคซีนทั้งระบบเป็นวาระแห่งชาติ ทั้ง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า และกลุ่มอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ รวมทั้งผู้มีอาชีพและกิจการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน เช่น สาธารณูปโภค อาหารและยา ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ตัวแทนนักกีฬาไปแข่งขันต่างประเทศ นักเรียน และนักศึกษาไปศึกษาต่อต่างประเทศ วัยทำงานผู้มีสิทธิประกันสังคม และประชาชนทั่วไป
ด้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับว่า ในที่ประชุม ศบค.วันนี้ มีการหารือเรื่องการกระจายฉีดวัคซีนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดภาคเรียนในวันที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้ โดยให้ทางกระทรวงสาธารณสุขและแต่ละจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร บริหารจัดการวัคซีนฉีดให้กับประชาชนในกลุ่มที่เหมาะสมก่อน ซึ่งในจำนวน 5 ล้านคนที่ต้องเร่งฉีดประชาชนในกรุงเทพมหานครภายใน 2 เดือน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวไปแล้วนั้น ต้องไปดูแผนของกรุงเทพมหานครว่าจะบริหารจัดการฉีดอย่างไร อาจจะยังไม่ครอบคลุมไปถึงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่จะเปิดเทอม
ซึ่งวัคซีนสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะไปดูรายละเอียดอีกครั้งว่าวัคซีนตัวไหนถึงจะเหมาะสม
พร้อมกันนี้ ให้แต่ละจังหวัดบริหารจัดการในการฉีดวัคซีนตามความเหมาะสมขอให้ประชาชนรอฟังคำชี้แจงจากแพทย์ดีกว่าฟังข้อมูลจากบุคคลอื่นๆเกรงจะเกิดความสับสน ในส่วนประชาชนที่อายุ 18-59 ปีขึ้นไปสามารถลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมได้ตั้งแต่ 31 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป เพื่อจองคิวในการรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
นายอนุชา ยังชี้แจงถึงความแตกต่างระหว่างระบบ walk in (วอล์กอิน) กับ on site (ออนไซต์) ว่า แต่ละจุดสถานบริการฉีดวัคซีน จะมีจำนวนวัคซีนไม่เท่ากัน และแต่ละจุดมีการลงทะเบียนมาก่อนล่วงหน้าไม่เท่ากันและบางวันคนที่ลงทะเบียนได้คิวแล้ว อาจจะไม่มาก็เป็นได้ จึงต้องมีการลงทะเบียนก่อนถึงจะทราบว่าจะได้รับวัคซีนวันไหน แต่คำว่า วอล์กอิน คนจะเข้าใจว่าเมื่อไปแล้วจะต้องได้ฉีดวันนั้นแต่ถ้าไม่ได้ฉีดก็ต้องกลับมาอีกวันรุ่งขึ้น และวันต่อๆ ไป
ส่วนระบบ ออนไซต์ เมื่อคนไปถึงหน้างานสถานบริการ หากมีวัคซีนเพียงพอทำการลงทะเบียนแล้ว ถ้าวัคซีนพอก็สามารถได้ฉีดวันนั้นแต่ไม่ได้รับประกันเสมอไปว่าจะได้วันนั้น แต่เมื่อวัคซีนไม่เพียงพอ ก็ให้ลงทะเบียนไว้อาจจะกลับมาฉีดตามคิววันนัดหมายที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับมาทุกวัน ซึ่งระบบออนไซต์ จะดีกว่าและเป็นระบบกว่า วอล์กอิน ที่อาจจะต้องเดินทางมาสแตนบายรอทุกวันเพื่อดูว่าวันนี้จะได้ฉีดหรือไม่
พร้อมย้ำว่าระบบ ออนไซต์ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้ฉีดภายในวันเดียวกันนั้น ต้องดูจำนวนของวัคซีนว่ามีเพียงพอหรือไม่ด้วย ส่วนสถานบริการฉีดวัคซีนจุดไหนบ้างที่จะเปิดลงทะเบียนแบบออนไซต์ให้รอฟังรายละเอียดจากทางกรุงเทพมหานครอีกครั้ง