“รองโฆษกกล้า” ห่วงบรรทัดฐาน “คดีธรรมนัส” เปิดช่องคนต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดตปท.เป็น ส.ส.-รมต.ได้ ชี้ช่องยื่น ป.ป.ช.วินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงต่อ
วันนี้ (6 พ.ค.) นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีต้องคำพิพากษาศาลออสเตรเลียในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดในเรื่องคุณสมบัติแล้ว แต่การให้เหตุผลคำวินิจฉัยในทำนองว่าคำพิพากษาของต่างประเทศไม่มีผลผูกพันต่อกฎหมายไทย เกิดเป็นคำถามถึงบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมไทย
“ผมไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับบุคคลในคดี แต่สงสัยว่าถ้ามีคนก่อคดีคล้ายๆ มันคือแป้งในต่างประเทศ หมายความว่าบุคคลนั้นสามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือเป็นรัฐมนตรี ได้หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนอีกหลายๆ คนก็คงรู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน จึงหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะออกมาภายหลังจะมีการอธิบายถึงบรรทัดฐานในอนาคตที่ชัดเจนด้วย” นายแสนยากรณ์กล่าว
รองโฆษกพรรคกล้ากล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติคงจะจบไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงมีประเด็นว่าขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามหมวด 1 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดให้บังคับใช้แก่ ส.ส., ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่ โดยสามารถยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และส่งต่อให้ศาลฎีกาตัดสินต่อไป
นายแสนยากรณ์ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 5 กำหนดด้วยว่า ผู้ใดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย รวมถึงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5) เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2525 ก็ระบุถึงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งว่า ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม ซึ่ง 2 ประเด็นนี้น่าจะเป็นข้อกฎหมายและความเห็นที่มีนัยสำคัญ หากมีการวินิจฉัยต่อว่าขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่