มทภ.4 ยัน จชต.คุมเข้มชายแดนสกัดโควิดสายพันธุ์แอฟริกา มั่นใจเอาอยู่ เผยตัวเลขคนเดินทางกลับจากมาเลย์ 400 คน “บิ๊กบี้” ย้ำเฝ้าระวัง ทบ.เผยต่างด้าวหนีเข้าไทยในห้วงสัปดาห์ 389 คน พม่า 339 คน เริ่มเดินสายแจกหน้ากาก ปชช. ลดภาระช่วงโควิด
วันนี้ (3 พ.ค.) พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากผู้ที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการระบาดของเชื้อสายพันธ์ุ์แอฟริกาว่า ยังคงมาตรการเข้มข้นในการเฝ้าตรวจชายแดนทั้งบุคคลที่เข้ามาถูกกฎหมายและลักลอบเข้ามา โดยต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง และต้องสู้สถานที่กักตัวของรัฐ และหลังจากที่ประเทศมาเลเซียขีดเส้นตายให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศเกินระยะเวลาที่กำหนดต้องเดินทางออกจากประเทศมาเลเซียให้หมดภายในวันที่ 21 เม.ย.นั้น ก็พบว่ามีคนเดินทางกลับจำนวนน้อยอยู่ สำหรับการปฏิบัติตามแนวชายแดนทาง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เพิ่มเติมกองกำลังเข้ามาแล้ว
พล.ท.เกรียงไกร กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 4 ได้ดำเนินมาตรการดังกล่าวมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และนับแต่มีการแพร่ระบาดยังไม่พบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ด้านในได้รับเชื้อจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก ก็ห่วงใยและสั่งการในการดูแลพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มงวด ในการระบาดระลอกแรกช่วงปีที่แล้ว มีผู้เดินทางเข้ามาประมาณ 2.8 หมื่นคน เข้าเมืองถูกกฎหมาย 2.8 หมื่นคน และ ลักลอบเข้าทางเส้นทางธรรมชาติ 4 พันกว่าคน ในห้วงนี้ที่เดินทางเข้ามาจากผลกระทบของการขีดเส้นตายของประเทศมาเลเซีย มีจำนวน 400-500 คน ในจำนวนนี้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไม่ถึง 100 คน แต่ทั้งหมดจะเข้าสู่การคัดกรอง ตามมาตรการอย่างเข้มข้น หากเล็ดลอดเข้าไปในหมู่บ้าน ก็จะมีกองกำลังภาคประชาชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ในการสอดส่องดูแลอีกชั้นหนึ่ง ว่ามีใครที่แปลกหน้า ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ก็จะถูกนำเข้าสู่พื้นที่กักตัวแห่งรัฐต่อไป
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายเป็นห่วงการแพร่ระบาดสายพันธ์แอฟริกาเข้ามามาประเทศ มีแผนรองรับในขั้นต่อไปอย่างไร แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ทางผู้บัญชาการทหารบก ก็เป็นห่วง และได้เน้นย้ำในเรื่องนี้ ซึ่งก็นำไปสู่การปฏิบัติของกองกำลังชายแดนอย่างเคร่งครัด และยังคงใช้มาตรการของรัฐบาล และ ศบค. ในการนำมาปฏิบัติในพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยประชาชนในพื้นที่ตระหนักรู้และใส่ใจต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด คิดว่าเอาอยู่กับการดูแลสถานการณ์ในห้วงต่อไป
ด้าน พ.ต.หญิง ปวีณา ศรีบัวชุม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ COVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 ขณะนี้กำลังพลของกองทัพบก ยังคงปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล, ศบค. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ การปฏิบัติภารกิจของกองกำลังชายแดน, บุคลากรทางการแพทย์, ดูแลสถานกักกันแห่งรัฐ, สนับสนุนการทำงานในจุดตรวจจุดสกัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขอย่างต่อเนื่องซึ่งเจ้าหน้าที่ กองกำลังชายแดนยังคงปฏิบัติภารกิจ ทั้งการลาดตระเวนตลอดแนวชายแดนในทุกช่องทาง ซึ่งที่ผ่านมาในระหว่างวันที่ 23-29 เมษายน 2564 สามารถตรวจพบและจับกุมแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 48 ครั้ง ได้ 389 คน (ข้อมูลวันที่ 30 เม.ย.) อาทิ ชาวเมียนมา 339 คน, กัมพูชา 12 คน, จีน 6 คน, ไทย 20 คน รวมถึงผู้นำพาอีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากการปฏิบัติภารกิจ ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ยังคงดำรงไว้ซึ่งการสกัดกั้น ยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ล่าสุดในระหว่างวันที่ 23-29 เมษายน 2564 สามารถตรวจยึดยาบ้า 2,148,338 เม็ด, ไอซ์ 749 กิโลกรัม, กัญชาแห้ง 49.8 กิโลกรัม, ฝิ่น 50 กิโลกรัม โดยในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกรณีสำคัญได้แก่ เมื่อ 23 เมษายน 2564 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี จัดกำลังร่วม 3 ฝ่าย ปฏิบัติภารกิจ ณ ด่านศุลกากรหนองคาย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 อ.เมือง ตรวจยึดไอซ์ 100 กิโลกรัม จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย นำส่ง สภ.เมืองหนองคาย และในวันที่ 26 เมษายน 2564 กองกำลังผาเมือง ลาดตระเวนพบการกระทำผิดบริเวณแนวชายแดน ยึดกัญชาอัดแท่ง 50 กรัม, อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 2 กระบอก, กระสุนปืน 66 นัด และลำกล้องปืน 2 ลำกล้อง ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พร้อมผู้ต้องหา 1 ราย
ทั้งนี้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดดังกล่าว กองกำลังชายแดน และเจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพบกยังคงดำรงภารกิจอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งตามความห่วงใยของ ผู้บัญชาการทหารบก ให้มีการติดตามต้นทางของการกระทำผิด ทั้งการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และการลักลอบเข้าเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำดังกล่าวซ้ำขึ้นได้อีก อันจะทำให้สังคมไทยปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสิ่งผิดกฎหมายไม่ให้ส่งผลกระทบเพิ่มต่อประเทศ
ขณะที่ กองทัพภาคที่ 1 ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ว่า ผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบหมายให้หน่วยในกองทัพบก แจกหน้ากากอนามัย ให้กับประชาชนตามสถานที่ต่างๆ ในห้วงเดือน พ.ค. 64 สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทุกวันจันทร์ และวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 7.00-8.00 น. ซึ่งเป็นเวลาชั่วโมงเร่งด่วน โดยวันจันทร์ที่ 3 พ.ค. จะดำเนินการในพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขตราชเทวี พื้นที่บริเวณสถานีบางแค เส้นทางรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล เขตบางแค พื้นที่บริเวณโรงภาพยนตร์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน เขตจตุจักร พื้นที่บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า เขตบางกอกน้อย พื้นที่บริเวณท่าเรือเทเวศร์ ถึง ท่าเรือมหาราช เขตพระนคร