xs
xsm
sm
md
lg

ทบ.เปิด รพ.สนามแล้ว 7 แห่ง ระดมกำลังพลสายแพทย์ช่วยงานสาธารณสุข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยในปัจจุบันที่ต้องเข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โดย ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรงเข้ามารับการรักษาพยาบาล สำหรับกองทัพบกได้เตรียมการสนับสนุนเกี่ยวกับโรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้อาคาร สถานที่ในหน่วยทหาร และสิ่งอุปกรณ์ที่มีอยู่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในขั้นต้นแล้วจำนวน 19 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,050 เตียง

ทั้งนี้ กองทัพบกเปิดดำเนินการโรงพยาบาลสนามแล้ว 7 แห่ง โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเข้าบริหารจัดการแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1) เปิดให้บริการเมื่อ 19 เมษายน 2564 รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 300 เตียง ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยพักแล้ว จำนวน 246 ราย (25 เมษายน 2564) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จัดบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาบริหารจัดการ โดยกองทัพบกได้ช่วยอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่เป็นการทำงานในลักษณะกองอำนวยการร่วม

แห่งที่สอง คือ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (ศูนย์การทหารราบ) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินงานโดยโรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ รองรับผู้ป่วยได้จำนวน 100 เตียง เปิดให้บริการเมื่อ 16 เมษายน 2564 ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยเข้าใช้บริการจำนวน 31 ราย แห่งที่ 3 คือ คือโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 5) จ.สงขลา รองรับผู้ติดเชื้อได้ 100 ราย ปัจจุบันมีผู้เข้าพักแล้ว 36 ราย ส่วนโรงพยาบาลกองทัพบก (กรมพลาธิการทหารบก) เปิดให้บริการแล้วในวันที่ 21 เมษายน 2564 รองรับผู้ป่วยได้ 200 เตียง หลังกระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบพื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขยายเพื่อรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม แต่ยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก อยู่ระหว่างการปรับปรุง

นอกจากนี้ กองทัพบกยังจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 จ.กระบี่) สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 280 ราย โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพลทหารราบที่ 15 จ.สงขลา) รองรับผู้ป่วยได้ 100 ราย และโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันเสนารักษ์ที่ 1 จ.ลพบุรี) รองรับผู้ป่วยได้ 150 ราย ปัจจุบันยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก

ล่าสุดได้เตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (มณฑลทหารบกที่11) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบความคืบหน้า และยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงให้เหมาะสมตามคำแนะนำของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดยจะจัดบุคลากรทางการแพทย์เข้าบริหารจัดการและแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนเพื่อความปลอดภัย

ส่วนโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (เกียกกาย) ซึ่งกองทัพบกบริหารจัดการเอง ดำเนินการโดย ศบค.19 ทบ. และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รองรับผู้ติดเชื้อได้ 137 ราย ใช้เป็นสถานที่รองรับกำลังพลและครอบครัว เป็นการลดภาระของโรงพยาบาลสาธารณสุข และรองรับผู้ป่วยโควิด-19 อาการทุเลาแล้วจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ขณะนี้มีผู้เข้าพักแล้ว 101 ราย

ล่าสุด กระทรวงกลาโหมได้จัดชุดแพทย์ผสมเหล่าทัพไปสนับสนุน การบริการด้านการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสนามในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร กองทัพบกได้มอบหมายให้กรมแพทย์ทหารบกจัดชุดแพทย์ 2 ชุด จำนวน 10 นาย เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลสนามเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ร่วมกับโรงพยาบาลลาดกระบัง ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน เป็นต้นไป โดยหมุนเวียนกับชุดแพทย์ของเหล่าทัพอื่น

นอกจากนี้ กองทัพบกได้สนับสนุนรถพยาบาลเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกระบวนการรับ- ส่งผู้ป่วยจากที่พัก เพื่อเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้เพิ่มศักยภาพในกระบวนการรับ-ส่งผู้ป่วย โดยได้รับการสนับสนุนการจัดยานพาหนะจากทุกเหล่าทัพ และโดยขณะนี้กองทัพบกสนับสนุนยานพาหนะ 10 คัน จากกองทัพภาคที่ 1 หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำงานเป็นวงรอบกับเหล่าทัพอื่นๆ ด้วย

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าต้องทำงานอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ผู้บัญชาการทหารบก มีความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว สั่งการให้ ศบค. ทบ. และกรมแพทย์ทหารบก จัดเตรียมกำลังพลที่เคยปฏิบัติงานสายแพทย์สำรองไว้ เพื่อเป็นกำลังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนมากในอนาคต ซึ่งขณะนี้กองทัพบกจัดทำบัญชีรายชื่อและแผนการปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว พร้อมสนับสนุนเมื่อได้รับการร้องขอ โดยมองว่างานด้านการรักษาพยาบาลถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลประชาชน ให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลและดูแลประชาชน เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าที่ทำงานหนักในสถานการณ์ที่ผ่านมา