“สุพัฒนพงษ์” เผยรัฐบาลเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดมีผล มิ.ย.นี้ ยันไม่กู้เงินเพิ่ม แต่ใช้มาตรการจูงใจผู้มีเงินฝากสูงใช้จ่ายช่วยดันตัวเลข ศก.ประเทศ ย้ำเปิดประเทศรับท่องเที่ยวเหมือนเดิมก.ค.นี้
วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เปิดเผยผลการประชุมหารือวงเล็กคณะกรรมการวัคซีนทางเลือกก่อนประชุมหารือ รับข้อเสนอเอกชนคณะใหญ่ในวันที่ 28 เม.ย. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่ามีการหารือเพื่อกำหนดแนวทางบริหารจัดการและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ประชาชน และการหารือกับภาคเอกชนในวันที่ 28 เม.ย.นี้จะทำให้ได้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมของรัฐบาล ทั้งในเรื่องของการคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 การรักษาพยาบาล และเรื่องของการจัดเตรียมวัคซีน โดยยังไม่มีการพูดคุยหารือเรื่องของการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนแนวทางที่จะมีการเพิ่มหรือยกระดับมาตรการหลังจากที่ตนเองเคยประเมินว่าภายใน 2 สัปดาห์สถานการณ์จะปรับดีขึ้น ขณะนี้เห็นว่ายังไม่ครบตามเวลา 2 สัปดาห์
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวต่อว่า ตนอยากให้มองว่าแม้จะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ต้องดูในมิติของผู้ที่หายป่วยประกอบกันด้วย จากข้อมูลเปรียบเทียบย้อนหลังไปเมื่อ 14 วันที่แล้ว ขณะที่ในวันนี้ก็มีผู้หายป่วยประมาณกว่า 400 คน ถือว่าปรับเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ ทั้งนี้ การหาวิธีการดูแลผู้ติดเชื้อในประเภทต่างๆ ทั้งที่แสดงอาการไม่แสดงอาการ หรือมีอาการรุนแรงก็ตามเป็นสิ่งสำคัญ ในส่วนของแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวนั้นยังไม่มีการพิจารณาใหม่ แต่ต้องรอดูสถานการณ์ภายในสัปดาห์นี้ที่น่าจะทำให้รู้ทิศทางได้ เบื้องต้นยังกำหนดเป็นช่วงเดือน ก.ค.เช่นเดิม ส่วนที่กระทรวงการท่องเที่ยวปรับลดเป้าด้านการท่องเที่ยวนั้น ถือเป็นภาพรวมด้านการท่องเที่ยวที่ในแต่ละปีคนไทยมีการท่องเที่ยวมาก ซึ่งมีเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาท โดยการประเมินว่าจะมีการท่องเที่ยว 120 ล้านคนครั้ง จากเดิม 160 ล้านคนครั้งนั้น ถือเป็นการประเมินในช่วงเวลาขณะนี้ ทั้งนี้ หากหลังจากนี้สามารถแก้ปัญหาให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ดี อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ คนไทยมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นจะทำให้ทุกคนกลับไปท่องเที่ยวได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วย
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลงกว่าครึ่ง คือ จาก 6 ล้านคนเป็น 3 ล้านคนนั้น ต้องมองข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด สิ่งสำคัญคือทุกคนยังคงต้องระมัดระวังตัวเอง พยายามหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะที่ตัวเลขจีดีพีนั้นมองว่าคงเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะการระบาดในรอบนี้ยอมรับว่าน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม มองว่าหากคนไทยทุกคนช่วยกันก็ยังมีโอกาสที่ตัวเลขจีดีพีของไทยจะเป็นไปตามเป้าที่ร้อยละ 4 ได้ เพราะขณะนี้พบตัวเลขในบัญชีเงินฝากของคนไทยมีเพิ่มสูงขึ้นหลายแสนล้านบาท หรือประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ดังนั้น หากอยากให้จีดีพีเป็นไปตามเป้าที่ร้อยละ 4 คนไทยก็ต้องช่วยกันออกมาใช้จ่ายช่วยกันบริโภค ซึ่งยอดเงินฝากนี้หากเปลี่ยนเป็นจีดีพีก็จะอยู่ร้อยละ 3 โดยมองว่าหากมีการใช้จ่ายเพียงแค่ 1 ใน 3 หรือครึ่งหนึ่งของยอดเงินดังกล่าวก็จะมีส่วนช่วยผลักดันตัวเลขจีดีพีได้มากถึงร้อยละ 1 ดังนั้น เมื่อรวมกับการประเมินจากภายนอกว่าเศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ดังนั้น หากได้ยอดการใช้จ่ายส่วนนี้ไปช่วยก็จะทำให้ตัวเลขเป็นไปตามเป้าได้ ซึ่งหากคนไทยกลุ่มนี้รักประเทศไทยต่างชาติมาช่วยกันใช้จ่าย มีความใจบุญเอื้ออาทร ร่วมดูแลคนที่ด้อยโอกาสกว่า
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวด้วยว่า ส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลได้เตรียมไว้แล้วคาดว่าเดือนมิถุนายนก็เริ่มมีผล จึงย้ำว่าทุกอย่างมีการจัดเตรียมไว้แล้ว ขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องเร่งการใช้จ่ายงบประมาณของแต่ละกระทรวง โดยใช้เครื่องมือในส่วนของ พ.ร.บ.เงินกู้ ที่ยังอยู่ในกรอบงบประมาณเดิมด้วย โดยย้ำว่าไม่ได้ใช้งบประมาณมาก แต่เน้นให้คนที่มีเงินฝากจำนวนมากออกมาใช้จ่ายเพื่อช่วยชาติ จึงจะมีแรงจูงใจให้คนที่มีเงินฝากออกมาช่วยชาติซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นมาตรการในลักษณะคนละครึ่ง หรืออาจจะเป็นคนละเสี้ยวคนละค่อน แต่สิ่งสำคัญวันนี้คือต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่าประเทศไทยสามารถควบคุมดูแลการแพร่ระบาดได้ในระดับที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นซึ่งจะทำให้ทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายลงได้