อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ยื่นหนังสือร้อง กมธ.กฎหมายฯ หลังถูกย้ายปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นธรรม ด้าน “สิระ” รับลูกตรวจสอบ บรรจุเข้า “กมธ.” ทันที
วันนี้ (22 เม.ย.) นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ฐานะประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร รับเรื่องจาก นายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กรณีที่ถูกคำสั่งของนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยไม่มีความเป็นธรรม โดยเรื่องที่ยื่นเป็นกรณีที่นายปรเมษฐ์ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าแทรกแซงการพิจารณาคดี หมายดำที่ อท.84/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ระหว่างนายประหยัด พวงจำปา อดีตรองเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช., น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทั้งที่เป็นเจ้าของสำนวนคดี และในคดีดังกล่าวนายปรเมษฐ์พิจารณาสั่งยกคำร้อง
ทั้งนี้ นายปรเมษฐ์กล่าวว่า วันนี้ตนมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากตนเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 หมายเลขดำที่ อท.84/2563 ระหว่างนายประหยัด พวงจำปา โจทก์ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที่ 1 น.ส.สุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 2 และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ จำเลยที่ 3 โดยในวันที่ 23 มีนาคม น.ส.สุภายื่นคำร้องขอให้โอนสำนวนคดีดังกล่าว โดยขอให้ส่งคำร้องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อมีคำวินิจฉัยให้โอนคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 หมายเลขดำที่ อท.84/2563 และคดีหมายเลขดำที่ อท.64/2563 ไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยตนซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
นายปรเมษฐ์กล่าวต่อว่า ตนถูกกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในการพิจารณาคดี โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม สำนักงานศาลยุติธรรมได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตน ซึ่งตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 70 และประกาศของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ข้อ 4 ข้อ 6 และข้อ 9 เมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน แต่กรณีของตนจนถึงปัจจุบันนี้ตนยังไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงใดที่ถูกร้องเรียน และไม่ทราบว่าถูกใครร้องเรียน เป็นการทราบแค่ภายในว่าไปทำคดี นอกจากนี้ยังถูกสำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งย้ายด่วนตนให้ไปช่วยราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งตนได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมส่งไปยังประธานศาลฎีกาและคณะกรรมการศาลยุติธรรม แต่ไม่ได้รับฟังคำร้องของตนแต่อย่างใด และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงยังไม่ได้ให้โอกาสตนเข้าชี้แจง
ด้านนายสิระกล่าวภายหลังรับหนังสือว่า จะนำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ของคณะ กมธ. ด้วยความละเอียด รอบคอบ และจะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของคณะ กมธ.ในครั้งถัดไป โดยจะเรียนเชิญคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมาร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม อีกทั้งจะทำการศึกษาช่องว่างทางกฎหมายของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อแก้ไขและปฏิรูปกฎหมายไม่ให้มีการแทรกแซงอำนาจตุลาการได้