ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ผบ.ตร ฟ้อง “สนธิ” รับไม่ได้ถูกวิจารณ์ผลงานตั้งแต่คดีน้องชมพู่ ไปยันส่วยแรงงาน บ่อนหลงจู๊สมชาย งานนี้ “บิ๊กปั๊ด” เลือกเอามือปิดฟ้าแทนทำความจริงให้ปรากฏ??
ทั้งๆ ที่มติมหาชน และผลโพลก็บอกชัดว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ตำรวจตกต่ำสุด แต่ก็มีรายงานว่า “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร.ได้มอบอำนาจให้ตัวแทนยื่นฟ้อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ต่อศาล อ้างว่า สนธิหมิ่นประมาท และนำภาพของผู้อื่นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นที่เสียหาย (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์) โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 12 ก.ค.นี้
ในสำนวนฟ้องระบุว่า เป็นเรื่องมาจากกรณีที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยไลฟ์สดทางรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ผ่านเฟซบุ๊กและยูทูป
เรื่องนี้ ในมุมของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ อาจจะถือว่าเป็นเรื่องการใช้สิทธิของ ผบ.ตร. ที่เห็นว่าถูกดูหมิ่น แต่ในมุมหนึ่งก็ต้องบอกว่าแทนที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ จะทำความจริงให้ปรากฏตามที่สังคมมีข้อสงสัย หรือตามที่ “สนธิ” ในฐานะสื่อ ซึ่งก็เหมือนเป็นตัวแทนของมวลชนนำมาเสนอ กลับเลือกฟ้องนั้นไม่ต่างอะไรกับการปิดปากสื่อ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” หรือไม่ ?
ลองย้อนไปดูสิ่งที่ “สนธิ” ไลฟ์สดในรายการวันนั้น ในหัวข้อเรื่อง “วันพิพากษา” : พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร. ซึ่ง “สนธิ” ได้ระบุชัดเจนว่า อยู่บนพื้นฐานที่ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ หน่วยงานรัฐอื่นๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “พล.ต.อ.สุวัฒน์” ควรจะถูกสื่อมวลชนตรวจสอบได้ และการวิเคราะห์เพื่อทำหน้าที่แทนสังคม ใครก็ตามถ้ากินเงินภาษีอากรของราษฎรแล้ว ได้ตำแหน่งแห่งที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ จำเป็นที่จะต้องรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์ โปร่งใส เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และที่สำคัญ ต้องสามารถตอบคำถามหลายๆ คำถามที่ประชาชนตั้งข้อสงสัย
เพราะฉะนั้นแล้ว ตั้งแต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ เข้ามารับตำแหน่ง เมื่อ ต.ค. 63 ก็ต้องยอมรับว่า ผลงานทั้งหลายควรที่จะต้องถูกตรวจสอบ โดย “สนธิ” ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ผบ.ตร. ไปเจ็ดข้อหลักๆ ที่สังคมพากันสงสัยว่า ผบ.ตร.ทำไม่ถูก ทำไม่เหมาะสม หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นไรบ้าง ปกปิดประชาชนหรือไม่ ?
ไล่เรียงไปตั้งแต่ ทันทีที่ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ก็จับคดีความคืบหน้า “คดีน้องชมพู่” แต่คดีนี้ล่าสุดนอกจากดรามาชีวิต “ลุงพล” เรื่องไสยศาสตร์ ตำรวจไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ จับตัวคนที่ฆ่า “น้องชมพู่” ไม่ได้ แถมยังสร้างความหดหู่ด้วยคำพูดแบบยอมจำนนว่า “บาปบุญมีจริง ท่านก็หนีได้ชั่วคราว ถ้าเหนื่อยก็ให้มาจับเข่าคุยกันดีกว่า ว่าเหตุเกิดจากอะไร” ซึ่งแค่เริ่มต้นก็ทำให้สังคมสิ้นหวังในประสิทธิภาพของตำรวจ ว่ามีหรือไม่ ?
กรณีที่สอง คดีหน้ากากอนามัยหาย คดีนี้คงจำกันได้ เป็นช่วง มี.ค. 62 ที่เชื้อโควิดกำลังเริ่มระบาด หน้ากากอนามัยหายไปอยู่ในตลาดมืดแทนที่ประชาชนจะได้ใช้ป้องกันตัวเอง กลับต้องขาดแคลน และหาซื้อมาด้วยราคาที่แพงมาก
เรื่องนี้เป็นปริศนาที่สังคมคาใจเป็นอย่างมาก กดดันให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหาคำตอบให้ประชาชน ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบทำเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดสังคมก็ไม่ได้คำตอบอะไร จาก “บิ๊กปั๊ด” ไอ้โม่งก็ยังลอยนวล
อีกกรณีที่ “สนธิ” ถามแทนประชาชน ก็คือ “คดีบอส อยู่วิทยา” โดยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ “อ.วิชา มหาคุณ” ถูกส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ ระบุชัดว่า เรื่องนี้มีการช่วยเหลือกันเป็นขบวนการ สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ นักการเมือง โดยในส่วนการดำเนินการเพื่อลงโทษตำรวจที่กระทำผิดอยู่ในมือของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” จะเอาอย่างไร ? และมีแนวโน้มจะช่วยเหลือกลบเกลื่อนความผิดของพวกพ้อง เพราะมีตำรวจหลายนายที่แทนที่จะถูกลงโทษกลับได้ดิบได้ดี เลื่อนขั้น เลื่อนยศ อาทิ รอง ผบ.ตร. ที่ช่วยเหลือ อดีต ผบ.ตร. ที่เป็นตัวละครหลักช่วยเหลือ “บอส” ให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะคดีนี้กระทบความเชื่อมั่นประชาชนอย่างมาก “สนธิ” จึงจี้ถามไปยัง ผบ.ตร. ก็เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของตำรวจควรที่จะมีคำตอบให้สังคม
ที่พูดถึงกันมากที่สุด ก่อนหน้านี้คือ การแพร่ระบาดโควิดรอบสอง ที่มาจากบ่อนระยอง ของ “หลงจู๊สมชาย” เชื่อมโยงไปจนถึงธุรกิจตู้ม้า เครือข่ายธุรกิจสีเทา และเครือข่ายยาเสพติด โดยที่ ผบ.ตร. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก
เห็นได้ว่า ตำรวจกว่าจะดำเนินการกับ “หลงจู๊สมชาย” หรือ สมชาย จุติกิติ์เดชาซึ่งเป็นต้นตอในการแพร่เชื้อตั้งแต่ ธ.ค. 63 ด้วยข้อหาเบาหวิว แล้วก็ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนาน สะท้อนว่า ตำรวจช่วยเหลือขาใหญ่วงการพนันที่เคยได้ส่งส่วยให้กันหรือไม่ ประชาชนเขาสังสัยในการทำงานของตำรวจ เรื่องนี้เป็นที่รู้ๆ กันดี
กรณี คดีสะเทือนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เช่นกัน “คดีจับยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม” ที่แม่สอด จ.ตาก ที่เชื่อมโยงไปจนถึงนายตำรวจใหญ่ 2 คน ผบ.ตร. ไม่ได้ตอบข้อสงสัย แต่กลับพูดว่า “การวิพากษ์วิจารณ์มีการตั้งคำถาม ตั้งประเด็นข้อสงสัยมากมายว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม” ซึ่งก็ย้อนแย้งในสิ่งที่สังคมสงสัยว่า ใครที่เป็นตัวการทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกันแน่ ควรหรือไม่ควร ที่ ผบ.ตร. ต้องทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าอยากให้ประชาชนศรัทธา
ว่ากันตามจริง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ “สนธิ”ต่อ ผบ.ตร. เรียกว่า เป็นคำตอบที่สังคมต้องการอยากจะได้จาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ ความจริงต้องทำให้ปรากฏ ผบ.ตร. น่าจะดีใจซะด้วยซ้ำ ที่มีคนตรวจสอบผลงาน
ขณะที่ก็ไม่เพียงแค่สื่อที่คิดเห็นเท่านั้น ลองดูความเห็นของประชาชน ซึ่งมีการสำรวจมาก่อนหน้านี้ ก็ชี้ว่า ภายใต้สถานการณ์โควิดระบาด ส่วยบ่อน ส่วยแรงงาน ที่เจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยว ปล่อยให้เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ระลอกแล้วระลอกเล่า ประชาชนไม่ศรัทธา เห็นว่ายุคนี้ตำรวจตกต่ำที่สุด
งานนี้ เมื่อ ผบ.ตร. ฟ้อง “สนธิ” ก็ได้เวลาที่ต้องพิสูจน์ความจริงกันละว่าเป็นอย่างไร
**คริสตัลคลับ อ๊อด มิยาบิ และ บิ๊กสีกากี คดีไม่คืบเพราะ “เจอตอ” ผบ.ตร. จะรู้มั้ยว่าใครคือตอ??
โควิดระลอกใหม่นี้ มาถึงวันนี้พิสูจน์แล้วว่า หนักหนาสาหัสกว่ารอบก่อนๆ แล้วก็มีคำถามว่า การดำเนินการเอาผิดต่อสถานบันเทิงที่เป็นต้นตออย่าง “คริสตัล คลับ” ย่านทองหล่อไปถึงไหนแล้ว ??
ทำไมตำรวจทำงานช้ายิ่งกว่าเต่า ทำไมการดำเนินคดีกับเจ้าของตัวจริงของ “คริสตัลคลับ” จึงกลายเป็นเรื่องซับซ้อนราวเหตุฆาตกรรมซ่อนเงื่อน ทั้งที่ความจริงแล้วชื่อบรรดาหุ้นส่วนที่ปรากฏอยู่ในสารบบของกระทรวงพาณิชย์ ย่อมเป็นหลักฐานชิ้นดี หรือเป็นเพราะเกี่ยวกับบุคคลสำคัญทั้งในเครื่องแบบ และ นอกเครื่องแบบ?
โดยเฉพาะ นายพันธนะ นุชนารถ หรือที่เขาว่ากันต่อกันมาที่ไปพ้องกับ “บิ๊กเม่น” พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส. สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีหมวกอีก1 ใบ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญช่วยราชการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคำสั่งยืมตัวมาช่วยราชการของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. เรียกว่าเป็นที่ไว้วางใจของผบ.ตร.อย่างยิ่ง
ดูกันอีกครั้งว่าไปไงมายังไง “คริสตัลคลับ” ถึงมีคนใหญ่คนโตในแวดวงสีกากีไปเอี่ยว ก็เพราะ คริสตัลคลับ มีเจ้าของในนามที่ชื่อว่า “อ๊อด มิยาบิ” แน่นอนว่า มิยาบิ เป็นชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดย บริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด 1 ในธุรกิจ ของนายเกียรติพงษ์ คำต่าย หรือ “อ๊อด มิยาบิ” นั่นเอง ซึ่งรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ 30 ก.ค. 63 นอกจาก อ๊อด มิยาบิ ถือหุ้นใหญ่สุด 44% มูลค่า 1,760,000 บาท แล้วยังมี นายพันธนะ นุชนารถ นายมนตรี เอี่ยมเป้า ถืออยู่คนละ 15% มูลค่าหุ้น 600,000 บาท น.ส.พรรนพร คำต่าย 11% มูลค่า 440,000 บาท นางจำนง ศรีสงคราม 10% 400,000 บาท นางสุวรรณา ซาโต้ 5% 200,000 บาท
และนี่เป็นที่มาของการเปิดชื่อ “พันธนะ นุชนารถ” ที่มีชื่อนามสกุลเดียวกับ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ให้สังคมรู้
เรื่องนี้ชาวบ้านรู้กันหมด ยกเว้นตำรวจที่ไม่น่าเชื่อว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบว่าใครคือหุ้นส่วนตัวจริงของ คริสตัล ผับ-เลาจน์ และ ผับเอมเมอรัลด์
สำหรับ “พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ” ผบก.สส. สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และช่วยราชการศูนย์เฉพาะกิจตำรวจไซเบอร์โดยคำสั่งของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. นั้น นอกจากเจ้าตัวจะยอมรับว่า เป็นหุ้นส่วนเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นที่มี “อ๊อด มิยาบิ” เป็นผู้ดำเนินการ แต่มิได้เกี่ยวข้องกับกิจการในส่วนของผับ-เลาจน์ นั้น แต่มีรายงานว่า เอาเข้าจริงๆ พันธนะ อาจจะเป็น นอมินี ให้ขาใหญ่ที่มีชื่อชั้นยศใหญ่กว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เป็นคนในระดับสูงที่สังคมจะคาดไม่ถึง
สืบจากความสัมพันธ์ระหว่าง พันธนะ กับบิ๊กสีกากีรายนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า แทบจะเป็นเงาติดตามรับใช้กันชนิดบิ๊กไปไหนก็มักจะเห็น พันธนะ เดินตามบ่อยครั้ง
และว่ากันว่า บิ๊กสีกากีรายนี้ จัดว่าเป็นที่พึ่งพิงของบรรดาคนในยุทธจักรสีเทาเวลานี้ มีเรืองเล่าว่า ก่อนเกิดเป็น “คลัสเตอร์ทองหล่อ” นั้น มีบรรดานักพนันในเครือข่ายของ “ตือ คอสโม่” เดินทางจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาใช้บริการกระทั่งหลังจากนั้นมีพนักงานสาวทยอยติดโควิด-19 กันก่อนลุกลามไปเรื่อยๆ
มีคำถามต่อไปว่าทำไม “คริสตัล” จึงกลายเป็นแหล่งลูกค้าขาใหญ่ที่มีกลุ่มสีเทาในเครือข่าย “ตือ คอสโม่” ชอบมาเที่ยวในฐานะแขกขาประจำ คำตอบจึงน่าจะอยูที่ว่า ปัจจุบันบ่อนพนันต่างๆ ทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านต่างซบเซา เพราะไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก แต่บ่อนออนไลน์ในเครือข่ายของ “ตือ คอสโม่” นับวันจะขยายกว้างขวางขึ้น จนเป็นที่รู้กันทั่วในแวดวงคนทำธุรกิจสีเทาว่าตำรวจใหญ่บางคนในปัจจุบันแสดงความรังเกียจบ่อนพนัน ไม่ต้องการให้เปิดบ่อนการพนัน แต่ทางกลับกันได้ส่งลูกน้องคนสนิทไปรับหน้าเสื่อจากบ่อนออนไลน์
หากบ่อนพนันออนไลน์เจ้าไหนไม่จ่ายก็จะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมอย่างถอนรากถอนโคน แต่หากบ่อนออนไลน์ติดต่อขอจ่ายส่วยก็จะ “ไฟเขียว” ให้เปิดบริการเข้าถึงประชาชนทุกเพศทุกวัยและได้สร้างความเสียหายให้กับสังคมอยู่ในขณะนี้
“ตือ คอสโม่” มีฐานปฏิบัติการอยู่ที่บ่อนชายแดนเพื่อนบ้าน มีความเกี่ยวโยงทั้งในรายของ “หลงจู๊ สมชาย” กับ “เสี่ยโป้ อานนท์” แต่ด้วยพฤติการณ์เกเร แรงจนไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ทั้ง “หลงจู้ สมชาย” กับ “เสี่ยโป้ อานนท์” จึงต้องถูกเชือดเอาไปเก็บไว้ในตะราง ส่วนผู้ประกอบการอื่นๆ รวมทั้ง “ตือ คอสโม่” จะได้กำหนดบทบาทตัวเองถูกว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับกลุ่มผู้มีอำนาจสีกากี
รายงานแจ้งว่า สำหรับกลุ่มบ่อนพนันออนไลน์ของ “ตือ คอสโม่” นั้น ได้มอบหมายให้ “เสี่ยคิว” บุตรชายซึ่งมีความสนิทสนมกับนายตำรวจใหญ่ผู้หนึ่งคอยดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับบรรดาบิ๊กตำรวจและมีความเป็นไปได้ว่า “บิ๊กตำรวจ” ผู้สร้างภาพเป็นตำรวจสีขาวนั้น แท้จริงแล้วมีลูกเล่นแพรวพราว ทั้ง “กินเงียบ” บ่อนพนันออนไลน์แล้วยังมีหุ้นลมกับสถานบริการฉาวโฉ่อีกด้วย
วันนี้จึงน่าจะมีคำตอบว่า ที่การดำเนินการคดีคริสตัลคลับ ไม่ไปถึงไหน ก็เพราะ เจอ “ตอ” บิ๊กตำรวจ คนนี้นี่เอง ส่วนจะเป็นใคร ผบ.ตร. ต้องรีบหาความจริงมาให้ประชาชนสิ้นสงสัยที