“ปานเทพ” ประณามบริษัทยาที่แชร์มั่วว่าฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง สร้างกระแสให้หวาดกลัวฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบ บั่นทอนและทำลายความหวังของประชาชนที่จะพึ่งพาตัวเองในช่วงโควิด-19 ระบาด
วันนี้ (17 เม.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในหัวข้อ ขอประณามบริษัทยาที่แชร์มั่วว่าฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีรายละเอียดว่า สถานการณ์ที่ประชาชนที่จะพึ่งพาตัวเองได้นั้นกำลังถูกบั่นทอนและทำลายด้วยกระแสให้หวาดกลัวฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบ
สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงสมุนไพรต่างทราบกันดีว่าสมุนไพรที่จะมีความเป็นพิษนั้น ยิ่งสกัดสารสำคัญออกมากขึ้นเท่าไหร่ แม้จะทำให้มีสรรพคุณตามวัตถุประสงค์มากขึ้น แต่กลับทำให้มีความเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น หรือการทำงานของบางอวัยวะมากขึ้น
แต่ในทางตรงกันข้ามจะเห็นได้ว่ามีหลายสมุนไพรที่ต้องใช้แบบสกัดหยาบโดยไม่ต้องสกัดสารสำคัญออกมากจะให้สรรพคุณทางยาดีกว่า เช่น กัญชา เพราะในสมุนไพรมีสารสำคัญหลายชนิดทำงานเสริมการทำงานซึ่งกันและกันดีกว่าการทำงานด้วยการสกัดสารสำคัญตัวใดตัวหนึ่งออกมา
โชคดีเป็นอย่างยิ่งในกรณีของสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ แบบสกัดหยาบกลับให้ผลทางสรรพคุณยามากกว่า จึงเป็นหนทางที่ชาวบ้านจะพึ่งพาตัวเองได้ หมอแผนไทยจะสามารถผลิตยาออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้บริการบริษัทยาขนาดใหญ่
และนั่นหมายความว่า ฟ้าทะลายโจรอาจจะทำให้ธุรกิจยาที่อยู่ในรูปสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ นั้น ต้องยุ่งยากไปด้วย เพราะฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบนั้นนอกจากจะมีราคาถูกแล้ว ชาวบ้านยังมีโอกาสพึ่งพาตัวเองได้ด้วย หมายถึงกินสด หรือตากแห้งบดเป็นผงได้ด้วย
เพราะแม้แต่สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ออกมาก็ยังมีสรรพคุณสู้แบบสกัดหยาบไม่ได้ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารสำคัญหลายชนิดทำงานร่วมกันเหมือนกับสมุนไพรหลายชนิด
ด้วยหลักฐานการนำเสนอของ นายแพทย์กุลธนิต วนรัตน์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รายงานเมื่อเดือนมกราคม 2564 ถึงผลการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดฟ้าทะลายโจรกับสารแอนโดรกราโฟไลต์ (ซึ่งสกัดออกมาจากฟ้าทะลายโจร) โดร ดร.สุภาพร ภูมิอมร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ต่อเชื้อโควิด-19 สรุปความได้ว่า
ประการแรก ทั้งแอนโดรกราโฟไลต์ และฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ ไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการติดเชื้อของไวรัส แปลว่ากินป้องกันไม่ได้
ประการที่สอง สารสกัดหยาบมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่สกัดออกมาเป็นสารเดี่ยว
ประการที่สาม ทั้งสารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร และแอนโดรกราโฟไลด์ มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจากสาระสำคัญข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่าโอกาสของสมุนไพรแบบฟ้าทะลายโจรที่จะใช้แบบพึ่งพาตัวเอง หรือยาแผนโบราณ ต่อโควิด-19 ในราคาที่ไม่แพงนั้น อาจทำให้บริษัทยาที่มุ่งแต่สกัดสารสำคัญออกมาไม่พอใจ และสูญเสียรายได้ เพราะผลิตยาแพงๆ เป็นสารสกัดออกมากก็สู้ไม่ได้กับสมุนไพรแบบสกัดหยาบอย่างฟ้าทะลายโจร
เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งในเรื่องนี้ คือ ฟ้าทะลายโจรโดยมีผลงานวิจัยของนักวิจัยไทยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงของสมาคมเภสัชเวทแห่งอเมริกา ชื่อ Journal of Natural Products ได้ตีพิมพ์รายงานทางวิชาการของทีมนักวิจัยชาวไทยที่นำโดย คณิต เสงี่ยมสุนทร, อำภา สุขสาธุ, สุภาภรณ์ ปิติพร ฯลฯ ซึ่งในทีมมีนักวิจัยรวมทั้งสิ้น 18 คน ได้ทำวิจัยทดลองการใช้สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของต้นฟ้าทะลายโจรต่อเซลล์เยื่อบุผิวปอดของมนุษย์ในหลอดทดลองที่ถูกทำลายจากเชื้อโควิด-19 โดยสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสได้เป็นผลสำเร็จ
ข้อสรุปของงานวิจัยนี้กล่าวว่า “ในการทดลองได้ใช้สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์บริสุทธิ์กับเซลล์เยื่อหุ้มปอดของมนุษย์ที่ติดเชื้อโควิด พบว่า สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสไม่แตกต่างกัน” และ “....ฟ้าทะลายโจรมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นยาเดี่ยว หรือใช้ควบรวมกับสูตรยามาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด ...”
ยิ่งแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสกัดจากบริษัทยาขนาดใหญ่ เพราะแม้แต่การใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดรวมออกมาก็ให้ผลดีไม่ต่างจากการสกัดสารแอนโดรกราโฟไลด์แบบบริสุทธิ์ออกมา และที่สำคัญคือ ไม่พบการทำลายเนื้อเยื่อในอวัยวะใดๆ ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการทดสอบกับผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 276 ราย และทดสอบกับอีก 28 คนเพื่อเทียบกับยาหลอก รวมทั้งสิ้น 304 คน พบว่า กลุ่มทดสอบมีอาการดีขึ้นทั้งหมดในระยะเวลา 5 วัน โดยมีอาการดีขึ้นให้เห็นในระยะ 2-3 วันแรกโดยส่วนใหญ่ โดยไม่มีใครมีภาวะปอดบวมเลย
ไม่มีใครได้รับผลอันตรายใดๆ ต่อการใช้ฟ้าทะลายโจร ไม่ว่าจะเป็นรูปของสารสกัด หรือแบบผงหยาบใส่แคปซูลเลย โดยใช้ฟ้าทะลายโจร หรือสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัม สำหรับโควิด-19
และที่สำคัญ ไม่มีใครมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงแม้แต่รายเดียว ตามที่มีความพยายามแชร์ไปเพื่อหวังขายสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ของบริษัทยาบางแห่ง
ข้อสำคัญข้อความที่โจมตีสาร AP3 ในฟ้าทะลายโจรว่าทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจำเป็นต้องสกัดออกไปนั้น ไม่มีมูลความจริงจากงานวิจัยใดๆ เลย และในคลิปที่แนบการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุขนั้น กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องสาร AP3 ของฟ้าทะลายโจรทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเลยแม้แต่คำเดียว เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คลิ๊กเข้าไปดูคลิปทั้งหมด
ความจริงแล้วธุรกิจนี้มีที่ยืนให้กับทุกคน เพราะแม้ฟ้าทะลายโจรแบบใดก็มีราคาและคุณภาพที่แตกต่างกัน ยังไม่นับความนิยมของแต่ผลิตภัณฑ์ก็ยังขึ้นอยู่กับแบรนด์สินค้า และความสามารถของแต่ละคนว่าจะสามารถกลืนยากินได้กี่เม็ดต่อมื้อ และกี่มื้อต่อวัน หรือต้องการประสิทธิศักย์ยาแบบไหน จึงไม่ควรใช้วิธีสกปรกเช่นนี้
ชาติวิกฤตขนาดนี้แล้ว อย่าให้ถึงขั้นต้องรณรงค์ให้สังคมต้องบอยคอตบริษัทยาเหล่านี้เลย เพราะแค่ฝ่าฟันกับบริษัทยาข้ามชาติ หรือช่วยกันทำความเข้าใจให้แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว บริษัทยาเหล่านี้ก็ร่ำรวยมากอยู่แล้ว เหตุใดไม่เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านได้มีโอกาสพึ่งพาตัวเองจากงานวิจัยที่จะเป็นโอกาสของประเทศชาติบ้าง
สำหรับประเด็นต่อมา คือ คำถามที่ว่าโรคโควิด-19 ทำไมต้องกินให้ได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ถึง 180 มิลลิกรัมต่อวัน
คำตอบนี้มีอยู่ว่าทีมวิจัยเห็นว่าโรคนี้มีอันตรายเลยพยายามคูณ 3 จากหน่วยบริโภคที่ใช้กันอยู่ 60 มิลลิกรัมต่อวัน และเห็นว่ายังไม่เป็นพิษต่อตับ เพื่อทำให้ตัวยามากที่สุดในงานวิจัยเพื่อหวังผลต่อการบรรเทาอาการให้ชัดเจน
และแปลว่าความจริงอาจใช้ฟ้าทะลายโจรน้อยกว่านี้ก็ยังอาจจะหายป่วยก็ได้ จริงหรือไม่
ทั้งนี้ ในรายงานของนายแพทย์กุลธนิต วนรัตน์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ถึงฟ้าทะลายโจรในท้องตลาดว่า ยาจากผงฟ้าทะลายโจรในรูปแบบยาเม็ดหรือแคปซูล ขนาด 350-400 มิลลิกรัม ในท้องตลาดต้องกิน 4 เม็ดต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน จึงจะได้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มิลลิกรัมต่อวัน
นั่นหมายความว่า ฟ้าทะลายโจรตามท้องตลาดนั้น มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 3.75 มิลลิกรัมต่อเม็ดแคปซูลขนาด 350-400 มิลลิกรัมเท่านั้น หรือเทียบเป็นสัดส่วนของน้ำหนักผงฟ้าทะลายโจรก็ประมาณ 1% เท่านั้น
ทั้งนี้ มาตรฐานฟ้าทะลายโจรนั้นต้องหมายถึงสมุนไพรที่มีสารสำคัญ คือ แลคโตนรวม หรือ โทเทิลแลคโตน (Total Lactone) คำนวณเป็นสารแอนโดรกราโฟไลด์ ไม่น้อยกว่า 6% ของน้ำหนัก และมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ไม่น้อยกว่า 1% ของน้ำหนัก
ด้วยการอ้างอิงมาตรฐานฟ้าทะลายโจรขั้นต่ำตามข้อกำหนด ทีมวิจัยก็เลยคำนวณไปโดยประมาณว่าต้องกินฟ้าทะลายโจรให้ได้ถึง 16 เม็ดต่อวันจึงจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น หากจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ให้ได้ถึง 180 มิลลิกรัมต่อวัน ก็ต้องคูณ 3 คือ 48 เม็ดขึ้นไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เคยมีงานวิจัยโดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ของสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ ได้เคยตรวจสอบฟ้าทะลายโจรจาก 5 แหล่งปลูก ได้แก่ กำแพงแสน ราชบุรี กรุงเทพฯ สมุทรสาคร และปากช่อง พบว่า
จากมาตรฐานต้องมี “ปริมาณแลคโตน” คำนวณเป็นแอนโดรกราโฟไลด์รวมไม่ต่ำกว่า 6% ของน้ำหนักนั้น แต่ละแหล่งมีปริมาณแลคโตนรวมต่างกันตั้งแต่ 4.44-13.02% มี 13 ตัวอย่างสูงเกินค่ามาตรฐานไประหว่าง 6.53-13.02% และที่ต่ำกว่ามาตรฐานมี 2 แห่ง คือมีปริมาณแลคโตนรวม 4.4% และ 5.6%
ดังนั้น โดยภาพรวมแล้วจึงถือว่าฟ้าทะลายโจรส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งนอกจากปัจจัยแหล่งเพาะปลูกแล้ว ยังมีปัจจัยภูมิอากาศ ฤดูกาล เวลาเก็บเกี่ยว ปุ๋ย และเทคนิคอื่นๆที่จะทำให้ได้ตัวยาเพิ่มขึ้นได้อีกหลายวิธี
ทั้งนี้ ผู้เขียนและคณะได้ทำการทดสอบ ตัวอย่างฟ้าทะลายโจรในเดือนกุมภาพันธ์ อายุ 4 เดือนเศษโดยทำการทดสอบที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อดูปริมาณแลคโตนรวมเปรียบเทียบระหว่างส่วนเหนือดินขึ้นไปทั้งหมด กับเฉพาะใบ (มีตัวยามากที่สุด) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
ผลการทดสอบพว่าส่วนทั้งต้นที่เหนือดินขึ้นไปซึ่งนิยมในอุตสาหกรรมฟ้าทะลายโจรมากที่สุดมีสารแลคโตนรวมคำนวณเป็นสารแอนโดนกราโฟไลด์ได้ 9.2% ในขณะที่ส่วนเฉพาะใบมีสารแลคโตนรวมคำนวณเป็นสารแอนโดรกราโฟไลด์ได้ 9.6% แปลว่าเกินค่ามาตรฐาน 6% ตามที่กำหนดไปมาก
ในขณะที่มีการตรวจสอบเฉพาะสารแอนโดรกราโฟไลด์ พบว่า “ทั้งต้นเหนือดิน” จะมี 2.5% โดยน้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน 1% แปลว่าต้องกินแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม จำนวน 18 เม็ดต่อวัน จึงจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัม ซึ่งก็ไม่โหดร้ายถึงขั้นต้องกินถึง 48 เม็ดต่อวัน
ในขณะที่มีการตรวจสอบสารแอนโดรกราโฟไลด์ พบว่า “เฉพาะใบ” จะมี 3.3% โดยน้ำหนัก แปลว่าต้องกินแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม จำนวนเพียง 13 เม็ดต่อวัน จึงจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัม อีกทั้งเป็นสารสกัดหยาบซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าสารแอนโดรกราโฟไลต์ที่สกัดออกมาเป็นสารเดี่ยว
ตามที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ระบุเอาไว้
นั่นแปลว่าเราไม่ต้องกินแคปซูลแบบหยาบมากถึง 48 เม็ดตามที่มีการประเมินกันไว้ เพราะเพียงบริโภค 13 เม็ดเฉพาะใบก็สามารถได้ตัวสารแอนโดรกราโฟไลด์ได้ถึง 180 มิลลิกรัมต่อวันได้อยู่แล้ว และถ้าเป็นหวัดอาการน้อยจะกินให้ได้ 60 มิลลิกรัมต่อวันนั้น ก็บริโภคเพียงแค่ 6-7 เม็ดต่อวันเท่านั้น
ขอช่วยกันแชร์ความจริงปกป้องการพึ่งพาตัวเองของชาวบ้านในการใช้ฟ้าทะลายโจรกันให้มากเถิด