สงกรานต์กับข่าวร้ายจาก “ทอน” ทราบว่า เตียงคนไข้โควิด-19 ใน กทม.เต็ม และ รพ.บางแห่งยกเลิกการตรวจ “รมต.หนู” สวนทันควัน “เจี๊ยบ หลังม็อบ” เลิกเป่าปี่ หันมาสีซอให้คนเขียนฟัง “คำผกา” ด่าตามสไตล์ใครบ้างมารับไป ควาย!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 เม.ย. 64) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบุว่า
“ส่งความห่วงใยถึงพี่น้องชาวไทยในช่วงสงกรานต์ภายใต้โควิดระลอก 3
ในช่วงนี้ พี่น้องประชาชนจำนวนมากคงเริ่มเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในวันหยุดกับครอบครัว ญาติมิตร และบุคคลอันเป็นที่รัก ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว ที่เราจำต้องฉลองปีใหม่ไทยภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด
ผมเป็นห่วงพี่น้องคนไทยอย่างมาก เพราะการแพร่ระบาดของโควิดระลอก 3 เป็นการแพร่ระบาดที่มีเชื้อโควิดสายพันธุ์ บี 117 รวมอยู่ด้วย ซึ่งเชื้อสายพันธุ์นี้แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์เดิมถึง 70% และมีรายงานตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ระดับโลกอย่าง British Medical Journal ว่า มีอัตราการเสียชีวิตภายใน 28 วัน เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 64% ทำให้การระบาดรอบนี้ รุนแรงกว่าระลอกมีนาคมและธันวาคมปีที่แล้วอย่างมาก
ผมกังวลใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับทราบข้อมูลมา ว่าเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนในกรุงเทพฯ ตอนนี้เต็มหมดแล้ว จนต้องปฏิเสธการรับผู้ป่วย รวมถึงมีบางโรงพยาบาลถึงกับยกเลิกการตรวจโควิด เนื่องจากไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้
ในการระบาดระลอกแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2563 พบผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดที่ 188 คน ส่วนในระลอกที่ 2 เดือนธันวาคม พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด 802 คน แต่ระลอกล่าสุดนี้ สถานการณ์เพิ่งเริ่มต้น แต่กลับมียอดผู้ติดเชื้อกว่า 800 คนแล้ว และพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อันตรายนี้กระจายในหลายพื้นที่ หลายกลุ่มอาชีพ จนยากจะสอบที่มาของการติดโรคได้ ในขณะนี้จึงถือว่าเราเข้าสู่สถานการณ์ที่จะได้เห็นผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มเป็นทวีคูณ และจะเกินหลักพันคนต่อวันอย่างแน่นอน
การแพร่ระบาดในครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครเป็นหลัก ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรจากทั่วทั้งประเทศมาทำมาหากิน จึงเกิดความเสี่ยงที่ว่าการเดินทางกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ ผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวของคนกรุงเทพฯ จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ บี 117 อย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประกาศแล้วว่า จะไม่มีการล็อกดาวน์ห้ามการเดินทาง เพราะฉะนั้นเราในฐานะประชาชนจึงจำเป็นต้องร่วมกันระมัดระวังตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อลดการระบาดของโรค สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนหนาแน่น และล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น ทั้งหมดนี้อาจทำให้สงกรานต์นี้ขาดสีสันไปบ้าง แต่เป็นความจำเป็นที่เราต้องร่วมมือกัน ใช้ชีวิตอย่างมีสติ เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์ ทำหน้าที่พลเมืองที่มีความรับผิดชอบ เพื่อครอบครัว และเพื่อนร่วมสังคมของเรา
สุดท้ายนี้ ผมขอย้ำว่า เรายังสามารถมีความสุขกับครอบครัวและคนที่รักได้ เฉลิมฉลองกันอย่างอบอุ่นสนุกสนานที่บ้านได้โดยปลอดจากโควิด ขอให้ทุกท่านใช้โอกาสนี้เยียวยาจิตใจของกันและกันที่บอบช้ำจากพิษเศรษฐกิจตลอดปีที่ผ่านมา”
ขณะเดียวกัน จากกรณี นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ “เจี๊ยบ หลังม็อบ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำนองว่า “เปลี่ยนจากเป่าปี่เป็นเป่าสาก...”
โดย นายอนุทิน พูดถึงเรื่องนี้ ว่า ตนอยู่ในระหว่างการสังเกตอาการ ถึงแม้ว่าแพทย์ระบุชัดเจนว่า ตนไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง สามารถออกมาปฏิบัติงานได้ตามปกติและผลการตรวจหาภูมิต้านทานต่อโรคโควิด-19 ให้ผลที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ของดรับแขก หลีกเลี่ยงการออกไปพบเจอกับคนหมู่มาก หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีคนแออัด ต้องขอขอบคุณท่านที่เป็นห่วงเป็นใยถามหามา ก็ฝากคำตอบไปว่า ไม่ได้เป่าปี่ แต่สีซอให้คนเขียนถามฟัง”
ทั้งนี้ นางอมรัตน์ โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ว่า เปลี่ยนจากเป่าปี่เป็นเป่าสาก
เห็นเคยดุดันจะหวดบุคลากรทางการแพทย์ เป่าปี่แถลง “ขอให้เชื่อมั่น ..บลา บลา บลา”
เห็นเคยแข็งกร้าวต่อ fb Live วัคซีนของคุณธนาธร
เห็นเคยโต้ทันควันที่ ส.ส.วิโรจน์ ถูกคนใส่เสื้อกลับด้านมีโลโก้พรรคภูมิใจไทยไปดักโห่ไล่ว่า “ใครจะโง่ขนาดนั้น ? ทำไมไม่มองว่า คนอื่นตั้งใจทำร้ายพรรคภูมิใจไทยบ้าง”
พอ รมต.และ ส.ส. พรรคตัวเองติดโควิดเข้า เปลี่ยนจาก “เป่าปี่” มาเป็น “เป่าสาก” เงียบกริบไม่สื่อสารทุกช่องทาง 3 วันแล้ว
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำตัวผิดวิสัยอย่างที่เคย อย่ามาอ้างถูกกักตัว เพราะเค้าไม่ได้ “กักปาก”
นางอมรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการระบาดของเชื้อโรคโควิด ตั้งแต่ปีที่แล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีท่าทีแข็งกร้าวต่อการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการขู่ว่าจะหวด ถ้าหากบุคลากรทางการแพทย์คนใดติดเชื้อ หรือการออกมาร้องไห้ในการแถลงข่าวแล้ว “ขอให้เชื่อมั่น จะไม่ทำให้ผิดหวัง”
หรือไม่กี่เดือนมานี้ ก็มีท่าทีแข็งกร้าวต่อการออกมาตรวจสอบของทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ออกมาไลฟ์สดวัคซีนว่า “เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะทำอะไรให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ต้องทำให้ตัวเองเข้ามาบริหารบ้านเมืองให้ได้ก่อน”...
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า โดยปกตินายอนุทินมักตอบโต้หรือมีท่าทีแข็งกร้าวต่อประเด็นต่างๆ มาโดยตลอด จนอาจเรียกได้ว่าดุเหมือนหมา แต่ตลอด 3 วันมานี้ นายอนุทิน กลับเก็บตัวกักโรคแบบเงียบกริบ ไม่มีความเคลื่อนไหวเหมือนกรณีอื่นๆ ไม่มีแม้แต่การออกมาเคลื่อนไหวทางช่องทางออนไลน์ หลังพบว่ามีรัฐมนตรี และ ส.ส.ในพรรคของตัวเองติดเชื้อโรคโควิด ดังนั้น จึงขอตั้งฉายาให้นายอนุทิน ว่า เป็นรัฐมนตรีผี คือเก่งกับคนอื่น แต่พอตัวเองโดนเข้าก็เงียบเหมือนอยู่ป่าช้า ไม่มีความกล้าหาญในการออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 วันที่แล้ว (วันที่ 6 เมษายน) โดยแชร์ไลฟ์บรรยากาศการทำบุญพรรคภูมิใจไทยครบรอบ 13 ปี โดยมีทั้ง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ เลขาธิการพรรค ที่ภายหลังพบว่าติดเชื้อโควิด เข้าร่วมทำบุญด้วย พร้อมกับสมาชิกและ ส.ส.พรรค จนนำมาสู่การกักตัวเพื่อสังเกตอาการทั้งพรรค ไม่สามารถปฏิบัติงานหรือเข้าร่วมประชุมสภาสมัยวิสามัญได้ เป็นส่วนหนึ่งทำให้สภาล่มเมื่อวานนี้ ไม่สามารถพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ได้สำเร็จ (ไทยโพสต์)
นอกจากนี้ เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา ยังแชร์โพสต์เฟซบุ๊ก ของ “คำ ผกา” ลักขณา ปันวิชัย มาให้อ่านด้วย ระบุว่า
“ฝึกโยคะเสร็จ ขอด่าต่อ
กูไม่แคร์ว่าอี รมต. จะตายหรือยัง ที่ไปติดโควิดมาจาก เลาจน์ และกูก็ไม่แคร์ว่า ใครจะดอกทองสำส่อนกับใคร เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่ผัวกู แต่กูแคร์ว่า พวกมึงซึ่งรวยมาก ติดโควิดไปร้อยรอบพวกมึงก็ได้รับการรักษาดีที่สุด พวกมึงจะกักตัวกี่วันก็ได้ เพราะไม่ต้องทำมาหาแดก กินค่าแรงรายวันแบบคนจน และที่กูโกรธมากคือ คนจน คนทำมาหากิน เจ้าของกิจการ ร้านอาหารเล็ก ผับ บาร์ นักดนตรี ไม่มีเส้น เขาต้องมาซวยเพราะควายอย่างพวกมึง ส้นตีน!
อีหมอหน้าหมาที่ไหนไม่ค้องเจ๋อหน้ามาสั่งสอนชาวบ้าน ให้ระวัง ไม่ให้กินเหล้า ไม่ให้เที่ยว ไป๊ ไปนั่งเลียง่ามตีนนายมึง ไป๊!
ควาย!”
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2175157772661527&id=100005019767677
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก THE STANDARD โพสต์ภาพรวมการแพร่ระบาด ระลอก 3 ระบุว่า
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวว่า ในบ่ายวันนี้จะมีการออกข้อกำหนดใหม่ ซึ่งจะออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 19 โดยมีรายละเอียดใจความสำคัญคือ
ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือกรุงเทพมหานคร มีอำนาจในการสั่งปิดสถานบริการ, สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ, สถานบันเทิง, ผับ, บาร์, คาราโอเกะ, อาบอบนวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดที่ได้ตรวจพบการระบาดและมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคที่จำเป็น ต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน จำนวน 41 จังหวัด ให้ปิดเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 14 วัน ตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้ (10 เมษายน)
สำหรับสถานบริการที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดอื่นนอกจากบัญชีแนบท้าย (41 จังหวัด) ผู้ว่าราชการจังหวัดอีก 36 จังหวัดที่เหลือ มีอำนาจในการดำเนินการตามกฎหมายในการสั่งปิดสถานบริการได้ หากมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ ในประกาศข้อ 2 การพิจารณาผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้การจัดการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันของสถานการณ์ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถตรวจสอบ กลั่นกรอง และประเมินความเหมาะสมก่อนเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการพิจารณาอนุญาตให้ผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการกับสถานที่ ที่ได้มีคำสั่งให้ปิดเป็นการชั่วคราว
สำหรับ 41 จังหวัดที่ถูกสั่งปิด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, นนทบุรี, นครปฐม, สมุทรปราการ, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, ลพบุรี, นครนายก, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, สระแก้ว, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี, ระนอง, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, สงขลา, ยะลา, นราธิวาส, นครราชสีมา, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, อุดรธานี, บุรีรัมย์, เลย, เชียงใหม่, ลำปาง, เชียงราย, ตาก และเพชรบูรณ์”
แน่นอน, สถานการณ์ในขณะนี้ ลำพังการระบาดของโรค ก็น่าเป็นห่วงอย่างมากอยู่แล้ว รวมทั้งถ้าเตียงคนไข้ในกทม.เต็ม อย่างที่นายธนาธรว่าจริง ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะมีข้อมูลในการรักษาระบุว่า ปัญหาใหญ่ของการรักษาโรคโควิด-19 คือ เตียงคนไข้ และเครื่องช่วยหายใจ
ถ้าเตียงเต็ม และเครื่องช่วยหายใจขาด หรือ หมด ซึ่งไม่มีประเทศไหนผลิตได้ทันเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกประเทศอื่น แม้แต่ประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยี ก็ต้องทำเพื่อประชาชนของตัวเอง นั่นเท่ากับคนไข้เสี่ยงที่จะเสียชีวิตจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ประเทศเล็กอย่างไทย และหลายประเทศที่เครื่องมือทางการแพทย์มีน้อยอยู่แล้ว จึงเน้นการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างดีที่สุด ทดแทนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ และที่ผ่านมาถือว่า ทำดีในระดับต้นๆของโลก จนได้รับการยกย่องอย่างมาก
แต่น่าเสียดาย ที่มีคนบางกลุ่มไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลและบุคลากรสาธารณสุข แนะนำประชาชนให้ตั้งการ์ดสูงเอาไว้ เท่านั้นไม่พอยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองมาตลอด โดยเฉพาะให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างปกติ โดยเฉพาะพรรคร่วมฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้นบางคนบางกลุ่ม แล้วเป็นอย่างไร พอใจหรือยัง?
ความจริงต้องบอกว่า โควิด-19 ครั้งนี้น่ากลัวอย่างมากก็จริง แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ การโหนโควิด เล่นการเมือง การทำตัว “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” เพราะมันจะยิ่งบั่นทอนการทำงานของคนที่คิดแก้ปัญหา และไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย คิดดูให้ดี!!!