“ประยุทธ์” ขอ รมต.นักการเมือง เลิกเที่ยวที่อโคจรเสียที บทเรียนมีแล้ว รับห้ามไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึก ไม่ใช่ฉีดวัคซีนแล้วไปอยู่ทั่วที่อโคจร ยกตนเอง 10 กว่าปีไม่ไปไหนเลย ชี้ เปิดประเทศดูหลายอย่าง ขู่ฝ่าย กม.ดำเนินการโยงใช้คำไทยคู่ฟ้าคลับ
วันนี้ (8 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีสามารถลดขั้นตอนให้ภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีนได้หรือไม่ ว่า ตนพร้อมที่จะลดขั้นตอนแต่ต่างประเทศเขาไม่ลดขั้นตอนให้เพราะขั้นตอนมีตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ทั้งโลกทำแบบนี้ ปัญหาวันนี้มีว่าต้นทางเขาจะขายให้เราหรือเปล่า เนื่องจากวันนี้แย่งวัคซีนกันอยู่ ประเทศไทยไม่ได้ช้ากว่าประเทศอื่น แต่ทุกประเทศมีปัญหากันหมด แม้แต่ประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ารายใหญ่ของโลกก็ยังมีปัญหา ผลิตไม่ทัน เนื่องจากมีคนติดเชื้อมากขึ้น ประเทศไทยวันนี้ถือว่าเป็นมากกว่าแต่ก่อน มากกว่าที่เคยเป็น สำคัญที่สุดคือ ทุกคนต้องไม่เจ็บไม่ตายรักษาให้ได้ และยืนยันว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ของเรามีเพียงพอ
“อย่าลืมว่า วัคซีนสามารถป้องกันการแพร่ระบาด แต่ไม่ใช่ 100% แต่เป็นการเพิ่มภูมิต้านทานภายในคน แต่โอกาสที่จะติดเชื้อยังมีอยู่ไม่ใช่ว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไปอยู่ในที่อโคจรไปทั่ว มันก็ติดอยู่ดี เพราะมันคือไวรัส” นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า ปัญหาวันนี้โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งงดการบริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 นายกฯกล่าวว่า วันนี้ในการหารือได้มีการพูดคุยกันแล้วในเรื่องนี้ปัญหาวันนี้ คือ วัคซีนยังมีไม่เพียงพอ เตียงก็ไม่พอ ปัญหาต้องดูว่าปริมาณเตียงของแต่ละโรงพยาบาลมีเท่าไหร่ เมื่อเข้าไปตรวจถ้าเป็นแล้วก็ต้องรับรักษา ทำให้เกิดปัญหาเตียงเต็ม ถึงจำเป็นต้องมีโรงพยาบาลสนาม ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลสนามสามารถตรวจได้แล้ว พร้อมดึงผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลสนาม ต้องยอมรับตรงนี้ ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลก็จะเต็ม คนที่เป็นโรคอื่นก็ไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้แพทย์ก็ยุ่งกันไปหมด การบริหารงานคนหมู่มากต้องเป็นแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแผนการเปิดประเทศต้องเลื่อนไปหรือไม่ เพราะมีหลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “เข้าใจคำว่าแผนหรือไม่ ในเมื่อถ้ามันทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะแผนก็คือแผน และแผนจะทำประโยชน์ได้จริงต้องมีคำสั่งออกมา ซึ่งมันมีหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องสายการบิน หรือการหารือระหว่างประเทศ ไม่ใช่จะเอาเพียงว่าให้เปิด จะมีคนเข้ามาหรือเปล่ายังไม่รู้ มีเพียงการประเมินการว่าน่าจะเข้ามา แต่ถ้าวัคซีนยังเป็นเชื้อแบบนี้ และถ้าเรายังไม่แก้ปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่นั่นแหละ ดังนั้น เราต้องเตรียมวัคซีนในพื้นที่ท่องเที่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่าแม้เราจะเตรียมแล้ว คนจะเข้ามาเที่ยวกันใหญ่ ตนว่าจะเข้ามาได้ก็เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่าคิดว่าการเปิดประเทศเป็นการเปิดโล่งทั้งหมด ต้องมาดูหลายอย่างควบคู่ไปด้วย เช่น โรงพยาบาลหรือการค้าขาย เราต้องดูตรงนี้ด้วย เศรษฐกิจต้องเดินไปข้างหน้า แต่ทำอะไรต้องมีตรงกลางเสมอ ไม่ใช่คิดอะไรง่ายง่ายสั่งโครมๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่แพทย์พยาบาลและนายกฯทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงบรรดารัฐมนตรีและนักการเมืองยังไปเที่ยวในที่อโคจรที่เป็นต้นตอของการแพร่เชื้อ จะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าเรื่องนี้เหตุเกิดในลักษณะไก่ก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ ใครจะไป ไหนมาก็รู้ตัวกันอยู่แล้ว และรัฐบาลก็ไปห้ามตรงนั้นไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวบุคคล แล้ววันนี้ผมก็คิดว่ามันมีบทเรียนอยู่พอสมควรอยู่แล้ว ก็หยุดกันเสียทีเถอะ และไม่ว่าอย่างไรใครเป็นก็ต้องรักษาไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ถือเป็นบทเรียนสำคัญอีกอันหนึ่งว่าสถานที่อโคจรเข้าใจกันหรือไม่ ก็ไม่ควรไป และตัวนายกฯก็ไม่เคยไปไหนเลยหลายปีมาแล้ว แม้แต่ที่โคจรยังแทบไม่ได้ไปเลย 10 กว่าปีไม่เคยได้ออกบ้านไปไหนเลย”
เมื่อถามต่อว่า แล้วสมัยหนุ่มหนุ่มเคยไปบ้างหรือเปล่าในที่อโคจรแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เคยไปเลย แหมตอนหนุ่มๆมันคนละเรื่องมั้ง แต่ไม่เป็นถึงขนาดนี้หรอก เมื่อถามว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข มีการรายงานเรื่องการกักตัวเข้ามาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า มีการรายงานเข้ามา มีการสั่งงานเขามาโดยตลอด ทำงานอยู่ที่บ้าน ในการประชุมครม.ต่างๆก็มีการร่วมประชุมหารือกันตลอด รวมทั้งรัฐมนตรีทุกคน สามารถติดต่อและสั่งงานต่างๆ ได้ ไม่ใช่ว่ากักตัว 14 วันแล้วจะหายไปเลย ทุกคนมีความรับผิดชอบไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด ความรับผิดชอบต้องอยู่กับตัวเสมอ ตนคิดอย่างนี้มาตลอดหลายปี สำหรับตนคิดเช่นนี้มาโดยตลอด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ กลางคืนกลางค่ำ จะหลับหรือตื่นตนก็รับผิดชอบ และทุกคนก็รับผิดชอบร่วมไปกับตนว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองเกิดความสงบ
เมื่อถามว่า หลายจังหวัดได้มีการออกข้อกำหนดผู้ที่มาจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจะต้องทำการกักตัว นายกฯตอบว่า ถือเป็นมาตรการแต่ละจังหวัดที่จะออกข้อกำหนด และการที่จังหวัดออกมาตรการลักษณะนี้ จะพิจารณาเองว่าจะปิดพื้นที่อย่างไรควรจะเข้ามาอย่างไร เพราะในพื้นที่อาจมีการแพร่ระบาดต้องระมัดระวัง และที่สำคัญ ต้องดูว่าคนที่จะเข้ามาในพื้นที่มาจากพื้นที่ใด ถือเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมว่าเรามาจากพื้นที่ที่เป็นจังหวัดเสี่ยง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร แต่ละจังหวัดเขาจะรับหรือเปล่ายังไม่รู้กลับบ้านได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ศบค.จะเป็นผู้ชี้แจง วันนี้สถานบริการก็ปิดเพิ่ม สร้างความเดือดร้อนอีก
เมื่อถามว่า หลายคนวิตกกรณีตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ เพราะไม่มั่นใจอาจจะมีการแพร่ระบาดและติดเชื้อกันได้ โดยเฉพาะการตรวจแอลกอฮอล์ นายกฯกล่าวว่า วันนี้ตนได้สั่งการไปแล้ว สำหรับมาตรการต่างๆ แต่การตรวจวัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเจ้าหน้าที่มีการเปลี่ยนอุปกรณ์ทุกครั้งในการตรวจแต่ละคน ไม่ใช่ไปอมอันเดียวกัน ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่ใช่เป่าปี่เสียเมื่อไหร่ที่จะต้องไปดูด แล้วจะบอกว่ามือไปจับเครื่องมืออันเดียวกันมันก็เป็นทั้งนั้นแหละ สื่อมวลชนยังจับสิ่งของอันเดียวกันตั้งหลายอย่าง มันก็มีโอกาสกันทั้งนั้น ระวังตัวล้างมือและล้างปากกันให้ดี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวช่วงท้ายว่า การพูดคุยกับตัวแทนโรงพยาบาลเอกชนมีความเข้าใจกันดีส่วนค่าบริการนั้นก็เป็นไปตามข้อกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งรัฐก็ต้องดูแลด้วย ส่วนที่ลดรัฐก็ต้องเติมเข้าไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการโยงเรื่องของสถานบันเทิงกับชื่อตึก “ไทยคู่ฟ้า” จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวจะดูว่ามันผิดกฎหมายหรือเปล่า เรื่องนี้ผมจำเป็นต้องดูกำลังให้ฝ่ายกฎหมายเขาอยู่การที่จะใช้คำว่าไทยคู่ฟ้าไปโน้นไปนี่มันไม่ใช่มั้ง ระวังระวังกันหน่อยก็แล้วกัน”