โฆษกรัฐบาล แจง รายงานความเสี่ยงทางการคลัง เป็นรายงานประจำปีตามปกติ ไม่ใช่เพราะไทยอยู่ในสถานะเสี่ยง ย้ำไม่มีแนวคิดขึ้น VAT
วันนี้ (2 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจากการรายงานความเสี่ยงทางการคลัง ว่า การหารือเรื่องการเงินการคลังในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกระทรวงการคลังรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 ซึ่งสื่อมวลชนและประชาชนอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยการรายงานนี้เป็นการรายงานประจำปีปกติ ตามข้อกฎหมายมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่กำหนดว่า ภายในเดือน มี.ค.ของทุกปี กระทรวงการคลังจะต้องทำรายงานความเสี่ยง เพื่อแสดงผลความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากผลกระทบเศรษฐกิจมหภาค ระบบการเงิน นโยบายของรัฐบาล และผลการดำเนินงานของนโยบายของรัฐ ที่อาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาล และแนวทางการบริหารความเสี่ยงนั้น เมื่อกระทรวงการคลังทำรายงานเสร็จสิ้นก็ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายการคลังของรัฐ เพื่อจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง และเสนอครม.เพื่อทราบ ยืนยันเป็นการรายงานปกติประจำปี ไม่ใช่เพราะประเทศไทยเกิดความเสี่ยงทางการคลังแล้วถึงเข้ามารายงาน
นายอนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งของเอกชน และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ที่จะรายงานให้ทราบถึงสถานการณ์ จึงขอให้เข้าใจตรงกัน ไม่ใช่เพราะประเทศไทยอยู่ในสถานะต้องดูแลความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปของการประเมินความเสี่ยงครั้งนี้ กระทรวงการคลังแจ้งว่าสถานการณ์ยังอยู่ในระดับปกติ สอดคล้องกับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลที่ยังอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังรายงานยอดจัดเก็บรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 ซึ่งยอดการจัดเก็บรายได้เป็นไปตามคาดว่าต่ำกว่า ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงมีการขยายระยะเวลาการยื่นแบบรายการและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากเดือน ก.พ.เป็นเดือน มี.ค. เพื่อบรรเทาผลกระทบ
นายอนุชา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ฐานะทางการคลังของรัฐบาลตามกระแสเงินสดในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 คือ เดือน ต.ค. 63 ถึง ก.พ. 64 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 926,770 ล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1,406,827 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินชดเชยการขาดดุลจำนวน 386,810 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ก.พ. 64 มีจำนวนทั้งสิ้น 516,229 ล้านบาท และถ้าเปรียบเทียบกับ 5 เดือนแรกในปีงบประมาณ 63 มีอัตราที่มากกว่าร้อยละ 50.8 นอกจากนี้ ยังมีเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้จ่ายและจะนำมาเป็นเงินเยียวยากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 64 จำนวน 220,000 ล้านบาท ขอยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT จากอัตราปัจจุบัน 7% เพื่อไม่ให้เป็นภาระของประชาชน