“ทนาย” เผยบันทึกจากห้องพิจารณาคดี “ไมค์” ร้องไห้คร่ำครวญไม่ยุติธรรม “รุ้ง” ห่วง “เพนกวิน” ตาย ประกาศอดข้าว “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” งงปัญญาชน 3 นิ้ว ร้องใช้ กม.สหรัฐฯ กับคนไทย “นิพิฏฐ์” ชี้ แถลง “ไม่ทำผิดซ้ำ-ไม่ร่วมม็อบ” มีลุ้น!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 มี.ค. 64) นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก เผยแพร่ข้อความบันทึกในเหตุการณ์ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ระบุว่า
บันทึกขนาดสั้นจากห้องพิจารณาคดี สมยศ พฤกษาเกษมสุข แถลงว่า การไม่ให้ประกันตัวเป็นอุปสรรคในการต่อสู้คดีและไม่เป็นธรรม เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ระหว่างต่อสู้คดีตนเองก็คงต้องติดคุกไปแบบนี้เรื่อยๆ ขอให้ศาลมอบโทษประหารชีวิตให้เพื่อยุติปัญหา เขาพร้อมพลีชีพสังเวยความไม่ยุติธรรม
ไมค์ (ภาณุพงศ์ จาดนอก) ร้องไห้น้ำตาไหล เพราะมันคับแค้นจุกแน่นอยู่ในอกถึงความไม่ยุติธรรม ไมค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ชนิดที่แม่ของเขาเองก็ยังแปลกใจ “มันไม่เป็นธรรมกับเราเลยนะพี่ ไมค์ไม่ได้กลัว จะติดก็ติดไป แต่อยากได้เพียงความยุติธรรม แค่สิทธิในการประกันตัวเรายังไม่ได้ เราจะได้ความยุติธรรมจริงๆ หรอพี่”
พี่รู้ไหม ไมค์ท่องบทกวีแปลของ จิตร ภูมิศักดิ์ ทุกวัน “เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์ แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
เพนกวิน (พริษฐ์ ชิวารักษ์) เข้ามาในห้องพิจารณา ร่างกายซูบผอมลงไปเยอะ อิดโรยเต็มที ใบหน้าซีดขาว แขนข้างซ้ายของเขามีสายระโรงระรางเต็มไปหมด ใช่ มันคือสายน้ำเกลือ แขนของเขาถูกเจาะเพื่อใส่น้ำเกลือลงไป เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดจาสื่อสาร เพราะอดอาหารประท้วงทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการประกันตัวมาแล้วกว่า 14 วัน
รุ้ง ปนัสยา กล่าวแถลงด้วยน้ำตา สรุปความได้ว่า หนูเป็นเพียงแค่นักศึกษา อายุแค่ 22 ปี หนูฝันถึงสังคมและอนาคตที่ดีกว่า การที่หนูออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หนูผิดอะไร หนูกับเพื่อนอีกหลายคนไม่ได้ประกันตัว พวกเราถูกบังคับไม่ให้มีโอกาสนั้น หนูกลัวค่ะ หนูกลัวว่าเพื่อนหนูจะเป็นอะไรไป หนูบอกเพนกวิน ว่า หนูกลัวมันตาย แต่เพนกวินตอบว่า ถ้าจะตายก็ให้ตายไป หนูคิดมาตลอดว่า “เราสู้เพื่ออยู่ ไม่ได้สู้เพื่อตาย แต่ถ้าจะมีใครตาย ก็ขอให้ตายเพื่อคนที่ยังอยู่”
และวันนี้ หากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวอีก จะขอประกาศอดอาหารด้วย โดยจะเริ่มจากการรับประทานวันละมื้อ และลดลงเหลือรับประทานแค่น้ำ นม และสารอาหาร “ขอให้การตายของเราเป็นสายธารนำความหวังสู่สังคม”
ผมนั่งเงียบฟังเสียงรุ้งแถลง ก้มหน้าก้มตาไม่ได้หันมองใคร น้ำตามันไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ นับเป็นครั้งที่สองที่ผมมีน้ำตาในห้องพิจารณา
แด่ทุกๆ คนที่ถูกจองจำกักขัง ผมรู้ว่าน้ำตาที่ไหลในวันนี้ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความสยบยอม แต่เป็นน้ำตาแห่งการต่อสู้เย้ยหยัน ผมขอให้น้ำตาทุกหยดที่หยดลงบนพื้น มันกัดกร่อนทำลายความอยุติธรรมในประเทศนี้ให้สิ้นซากไป
ผมรู้ว่าพวกคุณเจ็บและเหนื่อยมามาก ผมเข้าใจ ไม่เรียกร้องสิ่งใดๆ เพราะสิ่งที่พวกคุณต้องเผชิญมันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน ผมจะเคารพทุกๆ การตัดสินใจของพวกคุณ ผมพร้อมที่จะโอบอุ้มทุกสิ่งอย่าง ผมหวังว่าเราจะได้เจอกัน “ข้างนอก”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“คิดได้ยังไง
การต่อสู้ระหว่างกลุ่มสามนิ้วกับรัฐบาล ในเรื่องละเมิดกฎหมายมาตรา 112 รัฐใจเย็นไม่ใช้ความรุนแรง ใช้กฎหมายเข้าจัดการ ผู้ต้องหาถูกฝากขังไม่ได้รับการประกันตัวตามคำสั่งศาล
แทนที่จะโกธรศาล กลับวิ่งโล่ไปฟ้องพ่อทูนหัว ทั้งอุปทูตอเมริกัน และสถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ และเรียกร้องให้อเมริกาใช้กฎหมายที่มีชื่อว่า Magnitsky Act กับรัฐบาลและคนไทย
ฐานที่รัฐบาลไม่มีท่าทีประนีประนอมกับม็อบ ไม่ให้สิทธิประกันตัว ปราบปรามผู้ชุมนุม สลายหมู่บ้านทะลุฟ้า เรียกร้องให้ยกเลิกม.112 ม.116 และ ม.110 เรียกร้องให้อเมริกามีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ และขอให้บังคับใช้กฎหมาย Magnitsky Act. กับผู้เกี่ยวข้องระงับวีซ่าการเดินทางเข้าอเมริกา ให้อายัดทรัพย์สินของผู้ละเมิดในอเมริกา
งงมั้ยครับ ไม่เคารพกฎหมายไทย แต่กลับเรียกร้องให้ใช้กฎหมายของรัฐต่างชาติกับคนไทย
กฎหมาย Magnitsky Act. เป็นกฎหมายที่รัฐสภาสหรัฐฯออกมาเพื่อตอบโต้ให้กับนักโทษชาวรัสเซีย ชื่อ Sergei Magnitsky ที่ตายในคุกรัสเซีย และอเมริกัน เชื่อว่า ถูกฆ่าตายในคุก กฎหมายดังกล่าว เป็นกฎหมายที่เขียนขึ้นเพื่อลงโทษรัฐบาลหรือผู้เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ ได้มีการบังคับใช้แล้วกับคนรัสเซีย จีน พม่า ซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น กฎหมายออกใช้สมัยโอบามา เมื่อปี 2012 ซึ่งรัสเซียได้ตอบโต้กลับด้วยการแบนนักการเมืองอเมริกันไม่ให้เข้ารัสเซีย และห้ามคนอเมริกันรับเด็กรัสเซียไปเป็นบุตรบุญธรรม
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงยอมทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบกับประเทศล่าอาณานิคมเพื่อแลกคืนมาซึ่งสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ให้คนในบังคับต่างชาติ เมื่อกระทำความผิดต้องขึ้นศาลไทย
แต่มันน่าตกใจ ปัญญาชนคิดได้ไง ยืมต่างชาติให้ใช้กฎหมายของต่างชาติกับคนไทย
ทุกประเทศมีกฎหมาย มีอธิปไตย คนในแผ่นดินนี้ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน เมื่อทำผิดต้องติดคุก สู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้น สังคมอยู่ไม่ได้ อย่าทำตัวเป็นสมุนรับใช้ต่างชาติ
ช่วง 6 ตุลา ปัญญาชนนักต่อสู้รุ่นนั้น ที่เรียกตัวเองว่า ซ้ายใหม่ กล่าวหาผู้ใกล้ชิดกับอเมริกันว่า สุนัขรับใช้ของอเมริกัน”
ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“มาถูกทางแล้ว
อ่านข่าว จำเลยในคดี ปอ.112 แถลงต่อศาลว่า หากได้รับการประกันตัวไป จะไม่พูดพาดพิงสถาบันอีก อันนี้แหละครับ ที่ผมเคยพูดว่า ทำให้ “ข้อเท็จจริงในคดีเปลี่ยนแปลงไป” อันเป็นเหตุให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการให้ประกันตัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้
ผมเคยกล่าวหลายครั้งว่า ที่ศาลไม่ให้ประกันตัว เพราะจำเลยหรือผู้ต้องหาจะไป “กระทำซ้ำ” ในความผิดที่ถูกฟ้องหรือถูกกล่าวหา อันจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ อยากให้จำเลยหรือผู้ต้องหา ทบทวนการกระทำ และลองนำความเห็นของนักกฎหมาย (แก่ๆ) อย่างผม ไปทบทวน อย่าเชื่อคำยุแหย่ของใคร อย่าคึกคะนองอยู่กับเสียงปรบมือหน้าเวทีปราศรัย อย่าสนุกกับการให้สัมภาษณ์หน้ากล้องทีวีเลยครับ เวลาติดคุก ติดอยู่คนเดียวนะครับ คนอื่นไม่มาช่วยติดคุกด้วยหรอก
ส่วนผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็หาเวทีที่ปลอดภัยให้เด็กได้พูดคุยกัน เรารู้นี่ครับอย่างไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้ เรารู้นี่ครับอย่างไหนเกินขอบเขตอย่างไหนไม่เกินขอบเขต ถ้าทุกฝ่ายที่มีหน้าที่ ทำอย่างนี้ บ้านเมืองก็สงบ ผมนี่ไม่สุดโต่ง ไม่สุดขั้ว ไม่เรียกใครว่า สลิ่ม ไม่เรียกใครว่า สามกีบ ไม่เรียกใครด้วยถ้อยคำเสียดสี เพราะการพูดเสียดสีกันอย่างนั้นเหมือนคนปัญญาอ่อน เป็นทุรชน มองคนไทยเป็นศัตรูกัน ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหามีแต่สร้างปัญหาสร้างความแตกแยกเพิ่มขึ้น เราต่างเป็นคนไทยด้วยกัน
ประการสำคัญ ผมเป็นนัก “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ผมไม่ใช่ “นักประชาธิปไตย” ดังที่เคยกล่าวมาหลายครั้งแล้ว ผมไม่ก้าวหน้าจนต้องทำลายล้างระบบเดิมๆ และผมก็ไม่อนุรักษ์นิยมจนต้องถวิลหาอดีตอย่างหิวโหย”
แน่นอน, ประเด็นสำคัญก็คือ การที่แกนนำม็อบ 3 นิ้ว จะได้ประกันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสองส่วน ส่วนแรกคือ ตัวผู้ต้องหา พร้อมหรือไม่ ที่จะทำให้ศาลเชื่อมั่นว่า จะไม่ทำผิดซ้ำโดยเด็ดขาด และไม่ขัดคำสั่งศาลทุกประการ ส่วนที่สอง อยู่ที่ดุลพินิจของศาล ที่จะให้ประกันหรือไม่
ปัญหาก็คือ ถ้ายอมทำอย่างที่หลายคนแนะนำดังกล่าว ปมให้ประกันตัวหรือไม่ ก็จบไปนานแล้ว คงไม่ต้องมาร้องไห้ฟูมฟาย คร่ำครวญหาความเป็นธรรมอยู่อย่างนี้ แต่ที่ไม่ทำและทำไม่ได้ อาจอยู่ที่ “เบื้องหลัง” เพราะอย่างที่รู้กัน ว่า ม็อบมีเบื้องหน้า-เบื้องหลัง และนักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ออกหน้าเป็นแกนนำก็แค่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น ทั้งยังไม่รู้ว่า มีพันธะสัญญาอะไรกันไว้หรือไม่ เพราะถ้าแกนนำทุกคนมีอิสระในการตัดสินใจ ทุกอย่างก็ไม่น่ายืดเยื้อยาวนาน
อย่าลืมว่า คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลาย ต้องการ “เงื่อนไข” โจมตีรัฐบาลและผู้มีอำนาจอยู่แล้ว ซึ่งกรณีศาลไม่ให้ประกันแกนนำ 3 นิ้ว ก็คือ เงื่อนไขอย่างดี ยิ่งถ้าเกิดมีใครเป็นอะไรไป ขณะถูกคุมขังก็ยิ่งเป็นเงื่อนไขที่ฟ้องโลกได้ ขนาดไม่มีอะไรมาก ยังเคลื่อนไหวกันสนุกสนาน แม้แต่เรียกร้องให้ใช้กฎหมายสหรัฐฯ จัดการกับรัฐบาลและคนไทย อย่างที่ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” โพสต์เฟซบุ๊ก ก็ยังกล้าทำ ไม่ต่างจากการทำตัวเป็นทาสรับใช้ต่างชาติ
เหนืออื่นใด คนที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงแบบไม่ได้อะไร และไปไม่สุด เพียงแต่ “เกม” ที่พวกเขาเป็นตัวกำหนด จะเดินอย่างไร หลังได้ประกัน หรือไม่ได้ประกัน ต่างหากที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางม็อบขาลงสุดๆ ต่อไป