xs
xsm
sm
md
lg

“หม่อมโจ้” ชี้ “3 นิ้ว” ไม่ต่างฮ่องกงโดนสหรัฐฯ เท “สุวินัย” ด่า “มาเฟีย” วิชาการ “ไพศาล” คนไร้สัญชาติ=อนาคต?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ แถลงการณ์สถานทูตสหรัฐ กรณีแม่แกนนำ 3 นิ้วเข้าพบ ขอบคุณภาพ จาก https://www.chonsamun.com/
โลกแคบ? “หม่อมโจ้” ฟันธง “3 นิ้ว” จบอนาถ! ไม่ต่างจากฮ่องกงโดนสหรัฐฯเท เย้ย เอาชนะรัฐบาลไม่ได้ ดันลามปามสถาบันฯ “สุวินัย” จวกเละ นักวิชาการมาเฟียบิดเบือนผิดเป็นถูก “ไพศาล” ชี้ อวสานกาเหว่า “ฉี่” รดบนคอนเทนเนอร์ ที่แท้คนไร้สัญชาติ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 มี.ค. 64) ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมหลวงโจ้ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

“เตือนกันไปตั้งแต่เด็กฮ่องกงโดนสหรัฐฯเทแล้ว ว่า ชะตากรรมของเด็กไทยจะไม่ต่างนัก หลังบรรดาแม่โร่เข้าหาสถานทูตแถลงประมาณว่า เขามาหาเอง ก็เลยรับฟังไปตามมารยาท แค่นั้น ไม่มีอะไร

ภาพ การชุมนุมของ ม็อบ 3 นิ้ว ในช่วงแรกๆ จากแฟ้ม
ที่น่าขำคือ กลุ่ม ngo ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปยื่นกำหนดเวลาให้เขาแสดงออกมาภายใน 7 วัน คิดไม่ออกว่า เมื่อกระแสมันตีกลับ เขาก็เทอยู่แล้ว มองโลกไม่เป็นว่าในเวลานี้สหรัฐฯจะอยู่ในความประพฤติที่ดีที่สุดต่อรัฐบาลไทย ไม่มาขัดใจอย่างแน่นอน

เวลานี้เป็นโอกาสทอง ที่ในที่สุด เขาจะได้เข้าไปเขมือบแร่ทรัพยากรใต้ดินมากมาย รวมทั้งก๊าซธรรมชาติมหาศาลในพม่า ที่ปัจจุบันอยู่ในมือของจีนอยู่ และเขาก็ต้องการให้ดูมีความชอบธรรมที่สุด ซึ่งก็ย่อมหมายถึงการยอมรับ ไม่ต่อต้านจาก Asean ที่ไทยเป็นพี่ใหญ่ เขาต้องการให้เราอยู่ข้างเขา เขาไม่ได้โง่เหมือนการเคลื่อนไหวในบางประเทศ ที่ไปสร้างศัตรูมั่วไปหมดพร้อมกันทีเดียว

แค่รัฐบาลยังเอาชนะไม่ได้ ดันจะลามปามเล่นกษัตริย์ สุดท้ายแค่เป้าแรกก็แป้ก ไปไม่ถึงอย่างน่าอนาถ ทั้งที่ควรจะถึง มองอะไรได้แค่แคบๆ ตื้นๆ ตามโลกไม่ทัน ก็เป็นได้อย่างที่เป็นเท่านั้น นั่นก็คือ เป็นได้แค่เครื่องมือคนอื่น”

ภาพ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“การรวมหัวของ 279 อาจารย์ที่ออกมาเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยหยุดสอบสวนการกระทำผิดทางวิชาการของอาจารย์ณัฐพล ใจจริง นั้น ช่างเป็นความอุบาทว์ทางวิชาการเสียนี่กะไร!

กรรมการสอบสวนก็เหมือนศาล ถ้าเอาแต่พวกมากลากไปไม่เอาความถูกต้องอย่างนี้ประเทศชาติและสังคมจะอยู่กันอย่างไร? ส่องกระจกดูพฤติกรรมเยี่ยงนี้แล้วยังมีหน้าเป็นครูบาอาจารย์ไปได้อีกหรือ? ไม่แปลกดอกที่วงการวิชาการในปัจจุบันได้เสื่อมทรามถึงขีดสุดแล้วก็ว่าได้ เหตุก็เพราะไม่สามารถชี้ถูกผิดให้กับสังคมได้ แถมยังทำตัวเองให้เป็นปัญหาแทนที่จะเป็นทางออก

ความไม่ถูกต้องของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ของ ณัฐพล นั้น น่าจะมีอยู่ที่วิธีวิทยาที่ใช้ คือ การตีความทางประวัติศาสตร์ โดยคำนึงถึงบริบทต่างๆ ที่แวดล้อมอยู่ ฟังดูแล้วดีแต่ไม่ได้เรื่อง นี่คือ เหลาไม้ไฝ่กลายเป็นบ้องกัญชาเสียฉิบ แทนที่จะเป็นประโยชน์กลับกลายเป็นโทษ

เอาให้เข้าใจโดยง่าย การตีความ ของ ณัฐพล (จาก ตอบไชยันต์ ไชยพร เรื่องวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์) หมายถึงการเอาทัศนคติส่วนตนเข้าไปใช้กับ “หลักฐาน” ที่มีอยู่นั่นเอง แต่ประเด็นที่ ศ.ดร.ไชยันต์ ได้ท้วงติงที่เป็นสาระสำคัญ ก็คือ มีอะไรเป็น “หลักฐาน” ให้ตีความว่า บทบาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาถนเรนทร ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการฯเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง (เพื่อจะเป็นต้นเรื่องกระทบคราดไปถึงสถาบันที่อาจใช้อำนาจนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการฯ)

ในเมื่อสิ่งที่อ้างอิงว่าเป็น “หลักฐาน” นั้น ไม่มีอยู่จริง หากเป็นเช่นนี้จริง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการ “กุ” เรื่องขึ้นมา ไม่ต่างจากที่ ทอน บูด มายด์ และอีกหลายคนได้กระทำในปัจจุบัน ถ้าจะใช้วิธีวิทยาของณัฐพล วิทยานิพนธ์ก็ทำโดยบรรดาผู้ที่ไม่นิยมกษัตริย์ เช่น อาจารย์ที่ปรึกษา กรรมการสอบ หนังสือที่ (เลือก) เอามาอ้างอิง เพื่อหวังให้สำนักพิมพ์ที่ (จะเลือก) เอาไปตีพิมพ์

ดังนั้น จึงสามารถตีความโดยวิธีวิทยาของณัฐพลเองได้ไหมว่า ณัฐพลมีส่วนอย่างแข็งขันที่จะ “กุ” เรื่องเท็จให้กลายเป็นเรื่องจริง เพื่อหวังเป็นต้นทางให้พวกที่ไม่นิยมกษัตริย์เอาไปขยายความโจมตีต่อไปเป็นทอดๆ เพราะแม้ในวิทยานิพนธ์จะแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ในหนังสือที่นำเอาเนื้อหาวิทยานิพนธ์นี้มาใช้ตีพิมพ์เผยแพร่ก็ยังไม่ยอมตัดข้อความที่เป็น “เท็จ” เพราะไม่มีหลักฐานอ้างอิง

ศ.ดร.ไชยันต์ ได้เขียนเอาไว้ในเฟสบุ๊คตนเองว่า ในหน้า 60 ของหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี” ณัฐพล และฟ้าเดียวกันได้ตัดข้อความที่กล่าวว่า

“กรมพระยาชัยนาทเรนทรทรงเป็นเพียงหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 แต่ทรงลงนามพระนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2490 ที่เกิดจากการรัฐประหารแต่เพียงผู้เดียวอย่างรวดเร็ว” ที่เคยปรากฏอยู่ในวิทยานิพนธ์ออกไป

แต่ยังคงข้อความว่า “รัฐประหารครั้งนี้ไม่อาจสำเร็จได้หากปราศจากบทบาทของกรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการฯ ซึ่งมีบทบาทในการรับรองการรัฐประหารอย่างแข็งขัน” และยังคงอ้างข้อมูลหน้า 210 ของหนังสือ Brief Authority: Excursion of a Common Man in an Common World ของ Stanton อยู่ ซึ่งอย่างที่ชี้ให้เห็นไปแล้วว่า ในหน้า 210 ของหนังสือดังกล่าว ไม่มีข้อความใดเลยที่จะสื่อว่า กรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการฯ มีบทบาทในการรับรองการรัฐประหารอย่างแข็งขัน

ทำไมตัดข้อความที่ไม่มีหลักฐานอยู่จริงอันหนึ่งออกได้ แต่ไม่ยอมตัดอีกอันหนึ่งทั้งที่ปราศจากหลักฐานอ้างอิงเช่นกัน และเอามาตีความ อย่างนี้ไม่เรียกว่า จงใจ “กุ” เรื่องแล้ว จะให้เรียกว่าอะไร ณัฐพล?

นึกไม่ถึงว่า วงการวิชาการจะมีเผด็จการทางความคิดดังเช่น 279 อาจารย์ที่ออกมาเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยหยุดสอบสวนการกระทำผิด นี่คือ โฉมหน้ามาเฟียในวงการวิชาการไทยที่กล้าบิดเบือนผิดให้เป็นถูก ในนามของเสรีภาพทางวิชาการ ความถูกต้องจึงไม่ขึ้นอยู่กับจำนวน เป็นอนาลิโก

อาจารย์ไชยันต์ครับ อย่างน้อยยังมีอีกอาจารย์อย่างพวกผม 2 คน ที่เห็นด้วยกับการกระทำเพื่อสังคมวิชาการที่ดีในครั้งนี้ หนึ่งตำลึงจึงค้ำยันพันชั่งได้! ด้วยจิตคารวะ โดย ศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย”

ภาพ นายไพศาล พืชมงคล จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ของนายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“โฉมหน้ากาเหว่าล้มเจ้า!!! ที่ตั้งตนเป็นคนรุ่นใหม่ ผูกขาดอนาคตประเทศไทย

ที่แท้ก็คือ คนไร้สัญชาติ!!!! อนาคตประเทศไทยเป็นของคนไทย ไม่ใช่ของนักล่าอาณานิคมและขี้ข้าทรยศชาติหรือไร้สัญชาติอย่างแน่นอน!!! จบแล้วกาเหว่าเอ๋ย!!!”

ภาพ ประกอบข่าวจับกุม หนุ่มคนไร้สัญชาติ จากเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ เพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์ โพสต์ข้อความระบุว่า

“จับเเล้ว! หนุ่ม “ไร้สัญชาติ” ที่ทำท่าปัสสาวะ บนตู้คอนเทนเนอร์ นาย Sam Sa Mart ไร้สัญชาติ ถูกจับ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 580/64 ลง 26 มี.ค. 64
------------
เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 26 มีนาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. ได้ร่วมกันจับกุม นาย Sam Sa Mart ไร้สัญชาติ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 580/64 ลง 26 มี.ค. 64 ข้อหา “มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ทำร้ายร่างกายฯ” ซึ่งเป็นบุคคลที่ปัสสาวะรดหัวตำรวจช่วงค่ำวันที่ 28 ก.พ. 64 บริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 1 รอ.

เหตุการณ์วันนั้น ได้มีผู้ชุมนุมคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนตู้คอนเทนเนอร์ที่เจ้าหน้าที่นำมาตั้งกีดขวางเอาไว้ พร้อมกับปัสสาวะรดลงมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง และมีคลิปแชร์ไปตามโลกออนไลน์ จากนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมมาลงโทษให้ได้

โดยสามารถจับกุมได้ที่หน้าตึกไม่มีขื่อ เลขที่ 87 ซอยสรงประภา 10 แยก 3 (ชุมชนสวนฝรั่ง) แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ผู้ต้องหารับว่า ตนเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน ให้การว่า เป็นคนไร้สัญชาติ เคยถูกจับส่งประเทศกัมพูชา แต่ทางประเทศกัมพูชาไม่รับตัว จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
ขอบคุณข่าว มติชน”
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2644029

แน่นอน, ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความพยายามที่จะดึงสหรัฐอเมริกา เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทย หรือกิจกรรมภายในของไทย จนสุดท้าย ก็ไม่เป็นผล แถมยังถูกเทเอาง่ายๆ อย่างที่ “หม่อมโจ้” ชี้ให้เห็น

ความพยายามที่จะใช้วิทยานิพนธ์ มาอ้างอิงว่า สถาบันฯแทรกแซงการปกครองมานานแล้ว และปัจจุบันจะเหลืออะไร ใช่หรือไม่? โดยการที่จะได้วิทยานิพนธ์นั้นออกมา ต้องใช้ทั้งความกล้า อุดมการณ์ไม่เอาเจ้า และการตีความที่จงใจ “กุ” เรื่องขึ้นมา ใช่หรือไม่ อย่างที่ อ.สุวินัย ชี้ประเด็น

และการจับกุมคนไร้สัญชาติ ที่มีพฤติกรรมขึ้นไปฉี่รดหัวตำรวจบนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเจ้าตัวก็รับสารภาพนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปริมาณคนที่เข้าร่วมม็อบ และแม้แต่กลุ่มคนที่เป็นผู้นำในม็อบ ก็ไม่ใช่คนไทยทั้งหมด ขณะที่ นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว ที่อยู่เบื้องหลังม็อบ เฝ้าบอกกับสังคมไทยอยู่ตลอดเวลาว่า คนเหล่านี้ทำเพื่ออนาคตประเทศไทย เราต้องฝากอนาคตเอาไว้กับคนเหล่านี้ สิ่งที่คนเหล่านี้ทำ คือ คุณูปการอันสูงส่งต่อประเทศไทย แล้วเป็นไง คนไทยถูกต้มเปื่อยมั้ย

ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่ม็อบ 3 นิ้วต่อสู้เรียกร้อง คนไทยจะเชื่อใจ และมั่นใจได้แค่ไหน นี่ยังไม่นับว่า การปฏิรูปสถาบันฯ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมหัวเด็ดตีนขาดอยู่แล้ว

เหนืออื่นใด “คนไร้สัญชาติ” กำลังต่อสู้ร่วมกับม็อบ 3 นิ้วเพื่ออนาคตประเทศไทย “จบแล้วกาเหว่าเอ๋ย!!!” อย่างที่ “ลุงไพศาล” ว่า หรือไม่ ทุกคนน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น