ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ตัดจบ “หลงจู๊สมชาย” ที่ไปต่อไม่ได้ก็เพื่อเปิดทาง “เสี่ยตี๋เล็ก-เอ้ พัทยา ว่าที่เจ้าพ่อคนใหม่” ภายใต้การเชิดของก๊วนกอล์ฟ “ฉลามตาฟาง” เจ้าเก่า ??
ปฎิบัติการ “ยุทธการหนุมานดับบูรพา” ด้วยคำสั่งของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. มอบหมายให้ พล.ต.ต.จิรภาพ ภูริเดช รองฯ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงพุ่ม ผบก.ป. นำหมายศาลเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 20 จุดในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ระยอง จันทบุรี ชลบุรี และ กทม. ของ เครือข่าย “หลงจู๊สมชาย” สมชาย จุติกิติ์เดชา เจ้าพ่อบ่อนพนันภาคตะวันออก
ตามข่าวมาว่า การจับกุมไดัผู้ต้องหาทั้งหมด 8 คน แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือจับ “หลงจู๊สมชาย” ตามหมายจับข้อหา “จ้างวานฆ่า” ที่บงการสั่งฆ่าปิดปากวินจักรยานยนต์รับจ้างที่แอบถ่ายรูปบ่อนไปแฉ และความผิดฐานฟอกเงิน และ ส่วนที่ 2 คือ การจับกุม “ธนา จุติกิติ์เดชา” บุตรชายของ “หลงจู๊สมชาย” และพวกรวม 7 คน ตามหมายจับข้อหา จัดให้มีการเล่นพนัน และ ร่วมกันฟอกเงิน
โดยทั้งหมดยังอยู่ในควบคุมตัวไปขยายผล โดยอายีดทรัพย์สินได้กว่ามูลค่า 880 ล้านบาท และอยู่ระหว่างอายัดดำเนินคดีอีกกว่า 700 ล้านบาท ว่ากันว่า นี่เป็นอีกฉากเบื้องหลังที่สะท้อนความสุดโสมมในวงการสีกากี และ ยุทธจักรสีเทา ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงบางนายร่วมมือกับ “หลงจู๊ สมชาย” เสวยส่วย เสวยสุข กันมานานนับสิบปี กระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในบ่อนพนัน ความเลวร้ายต่างๆ จึงถูกเปิดเผยขึ้น
กระแสสังคมกดดันให้เอาเจ้าของบ่อนมาลงโทษ แต่ตำรวจและรัฐบาลก็ลูบหน้าปะจมูกมาตลอด สุดท้ายงัดคดีเก่าเบาหวิวมาจับ หลงจู๊ ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาฯ ก็เจ้าตัวก็รอด ได้ประกันตัวออกมาจนต้องมาเจอคดีเก่าอีกคดี “จ้างวานฆ่า” พร้อมกับลูกชายที่โดนข้อหาพนันในครั้งนี้
ที่ว่าคดีเก่า เพราะคดีจ้างวานฆ่าวินมอเตอร์ไซค์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 28 ก.ค. 63 ที่พัทยา เป็นคดีอุกอาจที่คนร้าย ซึ่งทราบต่อมาว่า เป็นคนคุมบ่อนให้หลงจู๊ ยิงทิ้งเหยื่อกลางวันแสกๆ ขณะที่มีผู้คนสัญจรไปมาเห็นเหตุการณ์แบบเย้ยหยันกฎหมาย ไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น
ตอนนั้นก็รู้ๆ กันในพื้นที่ภาคตะวันออกว่า คนจ้างวานย่อมเป็นใครที่ไหนไม่ได้ ก็ต้องเป็นหลงจู๊เจ้าของบ่อน แต่คดีก็เงียบหายไปกับสายลม กึกกักอยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.เมืองพัทยา
ต่อมาญาติผู้เสียชีวิตได้เข้าร้องเรียนกับ “บิํกปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ขอให้ทีมงานจากส่วนกลางลงไปรื้อฟื้นคดีเพราะตำรวจท้องที่ทำงานไม่คืบหน้า จากนั้นก็มีข่าว ตำรวจสอบสวนกลางชุดปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง จับคนร้ายได้สองคน และรับสารภาพ
คดีนี้ทำท่าจะปิดลงโดยทีมตำรวจทั้งพื้นที่ คือ กองบัญชาการตำรวจภาค 2 กองบังคับการจังหวัดชลบุรี สภ.เมืองพัทยา และฝ่ายสืบสวนทั้งหมด ไม่คิดจะเดินหน้าต่อ ทั้งที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ โดยท่าทีของตำรวจออกแนวชัดเจนว่าต้องการ “ตัดตอน” เพียงเท่านี้ ไม่มีความพยายามสาวไปถึงตัวใหญ่ที่ออกคำสั่งฆ่า ทั้งๆ ที่ในแวดวงสีเทาและสีกากีต่างทราบกันดีว่า บ่อนที่ว่าคนที่เป็นนายทุนอยู่เบื้องหลังก็คือหลงจู๊
คำถาม คือ คดีผ่านมาตั้ง 8 เดือน ญาติผู้ตายก็ร้องกับ ผบ.ตร.เอง แล้ว พล.ต.อ.สุวัฒน์ เมื่อบ่อนระยองโป๊ะแตกจากพิษโควิด สังคมเดือดร้อนกันทั่ว ทำไมไม่ถือโอกาสจัดการไปเสียทีเดียว แบบนี้จะเรียกว่า “ละเว้นปฏิบัติหน้าที่” ได้หรือไม่ ?
ว่ากันว่า ที่บรรดามีอำนาจ ทั้งทำเนียบฯ จนถึงปทุมวัน ปล่อยหลงจู๊ มานาน จนถึงวันนี้เพิ่งจะจับด้วยข้อหาเก่าก็เพราะ หลงจู๊ ชั่วโมงนี้ ไปต่อไม่ได้แล้ว
แม้ หลงจู๊ จะเคยเลี้ยงดูปูเสื่อ และจ่ายส่วยหนักๆ วิ่งเต้นหาเงินหาทองมาหล่อเลี้ยงขบวนการ แต่ก็ต้อง “ตัดจบ” จบความสัมพันธ์กันไป โดยที่ไม่ต้องแคร์อะไร ที่หลงจู๊ ผงาดเป็นเจ้าพ่อภาคตะวันออกได้ก็เพราะเป็นแค่มือไม้ให้ “บิ๊กตำรวจ” เชิดขึ้นมาก็เท่านั้น
ตัดจบ “หลงจู๊” ไป ก็เชิดคนใหม่มาแทนที่ได้ ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้าที่ “หลงจู๊” ส่อเค้าจะไปไม่รอด รัฐบาลลุงไม่จับก็ตอบสังคมไม่ได้ บรรดา “บิ๊ก” ขาใหญ่ตัวจริงที่คุมเกม “ยุทธจักรสีเทา” เอาไว้ในมือ ซึ่งมีทั้งนายตำรวจใหญ่อดีต และปัจจุบันที่เคยคุมกำลังภาค 2 ในนามกลุ่ม “ฉลามตาฟาง” ที่เชื่อมกับ ทำเนียบฯ-ปทุมวัน ได้แบบไร้รอยต่อ พวกนี้เตรียมปั้น “เจ้าพ่อคนใหม่” ไว้ล่วงหน้าแล้ว
แน่นอนว่า กิจการสีเทาในภาคตะวันออกโดยมีฐานที่มั่นตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นส่วนใหญ่ มีทั้งบ่อนพนัน ตู้ม้า ตู้สล็อต ตลอดจนสถานบันเทิง แหล่งอบายมุข ธุรกิจกลางคืน ทั่วทั้งพัทยา รู้ๆ กันว่า มีอยู่สองคนที่จัดว่ามาแรงเบียดกันหายใจรดต้นคอพร้อมจะเป็น “หลงจู๊” คนใหม่ ที่พอจะขึ้นมาสืบทอดแทน
คนหนึ่งต้องยกให้ “เสี่ยตี๋เล็ก” ที่ครอบครองพื้นที่มานานปี ถือเป็นเจ้าพ่อเบอร์ 1 แห่งยุคนี้ ระยะหลัง “เสี่ยตี๋เล็ก” วางมือจากธุรกิจกลางคืน หันไปทุ่มลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อขายที่ดิน สร้างบ้าน ทำคอนโดมิเนียม ซื้อแม้กระทั่งสนามกอล์ฟ จนกลายมาเป็นเจ้าของ “สนามกอล์ฟบางพระ” ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟเก่าแก่ระดับตำนานแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ว่ากันว่า สนามกอล์ฟ เป็นธุรกิจที่มีไว้ประกาศศักดาความร่ำรวยของเจ้าของ และสร้างคอนเนกชันมากกว่าหวังผลกำไร สนามกอล์ฟบางพระในยุคนี้ จึงมีไว้ต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่จากแวดวงคนมีสี มาสวิงกันฟรีๆ
เมื่อต้นปีนี้ ระหวางวันที่ 8-9 ม.ค.ที่ผ่านว่า ที่สนามของเสี่ยตี๋เล็กแห่งนี้ ก็มีบันทึกไว้ว่าได้มีโอกาสต้อนรับ “ก๊วนฉลามตาฟาง” ที่ประกอบไปด้วย อดีตสองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาคที่ 2 สองคน กับอีกหนึ่งอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี
อีกคนหนึ่งที่ร่ำลือกันในยุทธจักรว่า เมื่อมีเบอร์หนึ่ง ก็ย่อมมีเบอร์สอง ในอาณาจักรธุรกิจที่พัทยา คู่แข่ง เสี่ยตี๋เล็ก ย่อมต้องเป็น “เอ้ พัทยา” เป็นคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ไม่ว่า เสี่ยตี๋เล็กจะมีธุรกิจอะไร เอ้ พัทยา ก็มีแบบนั้น
แถม “เอ้ พัทยา” นอกจากมีสัมพันธ์อันดีกับ “ก๊วนฉลามตาฟาง” เหมือนๆ เสี่ยตี๋เล็ก โดยส่วนตัวจัดว่ามีสายแข็งคนใหญ่คนโตในตำแหน่ง สนิทแบบแน่นกับ “บิ๊ก ส.” คนโตแห่งปทุมวัน ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ระหว่าง “เสี่ยตี๋เล็ก” กับ “เอ้ พัทยา” จำชื่อกันไว้ ใครจะเป็น “หลงจู๊” ภาคตะวันออกคนใหม่ ภายใต้การเชิดของก๊วนฉลามตาฟางเจ้าเก่า??
ที่ตัดจบ “สมชาย” ไปก็จะเพื่อที่จะเปิดทางให้สองคนนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ขึ้นแท่นแหละ ...เชื่อขนมกินได้.
** คดีรุกป่า “ปารีณา” โดนฟันแล้ว จับตาคิวต่อไป ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ?
หลังจาก ป.ป.ช. มีมติ ชี้มูลความผิด “ปารีณา ไกรคุปต์” ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในคดีรุกป่าที่ จ.ราชบุรี ว่า เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากนั้นสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลฎีกา
ล่าสุด (25 มี.ค.) ศาลฎีกาได้รับคำร้องไว้พิจารณา และมีคำสั่งให้ “ปารีณา” หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าจะมีคำพิพากษา... หลังจาก “ปารีณา” ได้รับทราบคำสั่งแล้ว ก็ได้โพสต์ภาพตัวเองในเวอร์ชันก้มหน้า “เศร้า” โดยไม่มีคำบรรยาย
กรณีของ “ปารีณา” นี้ หากศาลฎีกาฯ พิพากษาว่ากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. นับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปีด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่หากถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งทางการเมืองอีกตลอดไป
ถ้าศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง “ปารีณา” ที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ และยังมิได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน ให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
คดี “ปารีณา” ขึ้นสู่ศาลถือเป็นข่าวใหญ่ประจำวัน ที่สังคมให้ความสนใจ เป็นประเด็นร้อนแรงในโซเชียลฯ ขณะเดียวกัน สังคมก็จับตาว่า คดีของ “ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ” ซึ่งบุกรุกป่าสงวน ที่ จ.ราชบุรี เหมือนกัน ใกล้จะคิวหรือยัง !! เพราะอธิบดีกรมป่าไม้ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ไปตั้งแต่ วันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยผู้ต้องหามีทั้งหมด 3 คน คือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (แม่ธนาธร) และ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ (พี่สาวธนาธร)”
การเข้าครอบครองพื้นที่ป่าสงวนของ “ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ” ใช้วิธีการผ่านทางเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง ในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3ก. โดยไม่มีหลักฐานเดิม (ส.ค.1) ซึ่งถือว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ โดยมิชอบ
น.ส.3ก. ที่ว่านี้ ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ มีอยู่ในครอบครองถึง 60 ฉบับ เนื้อที่ประมาณ 2,154ไร่ ... เป็นชื่อ “สมพร” 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,941 ไร่ เป็นของ “ชนาพรรณ” 5 ฉบับ เนื้อที่ 132 ไร่ และของ “ธนาธร” 2 ฉบับ เนื้อที่ 82 ไร่ ... พื้นที่เกือบทั้งหมดใช้ปลูกยูคาลิปตัส
ขณะนี้ คดีอยู่ระหว่างการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนสรุปส่งฟ้องศาล ... ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 ระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต้องติดตามกันต่อไปว่า คดีจะขึ้นสู่ศาลเมื่อไร และจะจบลงอย่างไร ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าคงในไม่ช้า