เมืองไทย 360 องศา
ก็ถือว่าเป็นอันเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่ล่าสุด วันที่ 25 มีนาคม ถูกศาลฎีการับคำร้องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีถูกดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม โดยศาลได้รับคำร้อง และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.จนกว่าจะมีคำพิพากษา
โดย น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้โพสต์ ยอมรับคำสั่งศาล และพร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะถูกจะผิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องว่ากันตามกระบวนการ ขั้นตอนทางกฎหมาย แต่หากพิจารณาจากท่าที เท่าที่เห็นในเวลานี้อย่างน้อยก็ต้องชื่นชม น.ส.ปารีณา ที่ก้มหน้ายอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่โวยวาย ตีโพยตีพาย ซึ่ง “ท่าที” แบบนี้ก็ต้องชื่นชม
ขณะเดียวกัน กรณีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ยังมีผลเกี่ยวเนื่องเปรียบเทียบ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปไกล อย่างน้อยก็กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการตรวจสอบ จนนำมาสู่การดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน
โดยเฉพาะคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เช่นเดียวกัน นั่นคือ คดีของ “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ” แม่ และพี่สาวของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” รวมไปถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกกรมป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีกรณีโดยถูกกลาวหาว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้าย ของแม่น้ำภาชี จังหวัดราชบุรี จำนวนกว่า 3 พันไร่ เป็นการออกและใช้เอกสารสิทธิโดยมิชอบ
ทั้งสามถูกกรมป่าไม้ แจ้งความต่อกองบังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ดำเนินคดีทั้งอาญาและทางแพ่งกับทั้งสามคนดังกล่าว
แม้ว่าหากพิจารณาตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายแล้ว ทั้งคดีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ และคดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับคนในครอบครัว ยังมีเส้นทางข้างหน้าอีกยาวไกล แต่อย่างน้อยที่ผ่านมา กลับได้เห็นท่าทีที่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาท่าทีระหว่าง น.ส.ปารีณา กับ นายธนาธร เมื่อถูกดำเนินคดี
โดยฝ่ายแรกตั้งแต่เมื่อครั้งที่ถูกร้องเรียนกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาจนถึงวันนี้ (25 มีนาคม) ที่ศาลฎีการับคำร้องของ ป.ป.ช. และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ส.ส.จนกว่าจะมีคำพิพากษา น.ส.ปารีณา ได้แสดงท่าทียอมรับ และสงวนสิทธิ์ในการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตรงข้ามกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มักแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง จากอำนาจรัฐฝ่ายตรงข้าม
แน่นอนว่า นาทีนี้ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละฝ่าย ที่ต่างมีผู้สนับสนุน แต่เมื่อมีการกล่าวหา มีการดำเนินคดี ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการพิจารณาคดีกันในชั้นศาลที่จะเป็นผู้ชี้ขาดเป็นที่สุด ซึ่งทุกฝ่ายต้องยอมรับ แม้ว่าจะไม่ถูกใจ หรือตัวเองเสียประโยชน์ก็ตาม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากันจากกรณีของ น.ส.ปารีณา ที่เริ่มตั้งแต่การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรุปความผิด และยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาจนนำไปสู่การรับฟ้อง และสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่ามีคำพิพากษา ก็ทำให้บางฝ่ายต้อง“สงบปากสงบคำ”ลงไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน
อย่างน้อยก็เรื่อง “สองมาตรฐาน” ก็จะพูดได้ไม่เต็มปาก
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อเกิดกรณีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ หากมองในแง่ของคดีความแล้ว ที่เป็นเรื่อง “คดีรุกป่าสงวนฯ” เหมือนกัน มันกลับกลายเป็นว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมไปถึง น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สาวของเขา น่าจะต้องอยู่ในอาการ “หนาวสุดขั้ว” เพราะเมื่อพิจารณาจากแนวทางของคดี น่าจะเดินในเส้นทางเดียวกัน
ที่สำคัญ ในยุคปัจจุบัน การพิสูจน์ หรือชี้พิกัดที่ดิน ว่าตรงไหนเป็นที่ดินที่สามารถออกเอกสารสิทธิโดยชอบ หรือที่ดินตรงไหนเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมาย สามารถใช้เครื่องมือชี้พิกัด รวมไปถึงการตรวจสอบได้ไม่ยาก หากมีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับคดี “รุกป่า” ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ที่ศาลฎีการับฟ้องคดีพร้อมทั้งสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จนกว่าจะมีคำพิพากษา ซึ่งแม้หนทางยังอีกยาวไกล แต่ก็เริ่มเดินแล้ว และที่สำคัญ เธอยอมรับในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่อิดออด ผิดถูกว่ากันตามกระบวนการ แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ต้องจับตาไปที่กลุ่มครอบครัวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน
เพราะเมื่อ น.ส.ปารีณา โดน พวกเขาก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะต้องโดนในแบบเดียวกัน เอาเป็นว่า “หนาวสุดขั้ว” ก็แล้วกัน !!