เอาแล้ว! “ไพศาล” เผย ทูตไทยเปิดแนวรบ “ล้มเจ้า” จนหยุดเคลื่อนไหว ปลุกคนไทยสู้ด้วยตัวเอง “นคร” สุดเซ็ง พรรค-ส.ส.ฝ่าย ปชต.ขี้ขลาด อยู่ใต้สภาเผด็จการ “จตุพร” จวก “ลุงตู่” ตระบัดสัตย์ “แรมโบ้” ลั่น ไม่หยุดแฉ พาเสื้อแดงไปตาย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 มี.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“บุคลากรในวงการทูตไทย เปิดแนวรบกับขบวนการล้มเจ้าในต่างประเทศ!!!! ทูตไทยในหลายประเทศ พร้อมทั้งอดีตบุคลากรในวงการทูต และทูตทหารไทย ในหลายประเทศ ได้เปิดแนวรบกับขบวนล้มเจ้า ที่หนีคดีไปลี้ภัยในญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ อย่างได้ผล!!!! พวกล้มเจ้าในบางประเทศต้องหยุดเคลื่อนไหว ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้นแล้ว และในที่สุดอาจถูกขับไล่ออกไปจากประเทศเหล่านั้น!!!
ก็ในเมื่อคนมีอำนาจตระบัดสัตย์ ไม่ทำหน้าที่พิทักษ์พระบรมเดชานุภาพ ทรยศชาติบ้านเมือง ปล่อยให้ขบวนการล้มเจ้าย่ำยีสถาบันมาเป็นเวลานานเต็มที จึงทำให้ข้าราชการและประชาชนที่มีความจงรักภักดีลุกขึ้นทำหน้าที่กันเอง และคาดว่า แนวรบนี้จะขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง!!!
จงจัดตั้งกันขึ้น!!! ท่านผู้รักชาติทั้งหลาย มาเถิด มาเข้าร่วมในแนวรบ ประชาชาติด้วยมือชาญ อย่ามัวยืนสังเกตการณ์ แล้วโบกมืออยู่ริมทาง!!!
ขอขอบคุณข้อมูล จากเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol”
ขณะเดียวกัน นายนคร มาฉิม สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีต ส.ส.จังหวัดพิษณุโลก โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ปัญหาขบวนการปฏิวัติในประเทศไทย
ทำไมขบวนการปฏิวัติในประเทศไทย จึงไม่แข็งแรง ปัญหาของกระบวนการอยู่ที่พรรคการเมือง และนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ยังยอมรับการทำงานในสภาเผด็จการอยู่ ขณะที่นอกสภา ขบวนของนักศึกษา เยาวชนเรียกร้องถึงขั้นปฏิวัติไปแล้ว จึงทำให้ขบวนขาดพลัง ปล่อยให้ขบวนนักศึกษาสู้อย่างโดดเดี่ยว
ขบวนการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ต้องรวมทุกสาขาอาชีพในประเทศ และเราต้องยอมรับว่า พรรคการเมืองกับมวลชนสาขาอาชีพต่างๆ สัมพันธ์กัน อย่างแยกกันไม่ออก เพราะมวลชนสาขาอาชีพ มีความหวังว่า นักการเมืองจะมาเป็นผู้แก้ไขปัญหาความยากจนให้พวกเขา เมื่อนักการเมืองไม่มีการขยับ หรือสนับสนุนทั้งทางทุน ทั้งทางความชัดเจนในการต่อสู้ ทำให้สาขาอาชีพต่างๆ จึงไม่มีการขยับตามไปด้วย
ดังจะเห็นตัวอย่างการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดง ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ในปี 2553 มีพลังมากกว่าปัจจุบันมาก แต่ยุทธศาสตร์ในเวลานั้น ก็ต่ำกว่าปัจจุบัน และก็เป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดด้วย ทำให้การต่อสู้พ่ายแพ้ และสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
พรรคการเมือง และ ส.ส. ฝ่ายประชาธิปไตย กลายเป็นพวกขี้ขลาด เอาแต่เล่นเกมในสภา ทำให้มวลชนหลงทาง เพียงเพื่อหวังเงินเดือนสูงๆ กัน และหวังการเลือกตั้งคราวหน้า เพื่อไปทำงานในสภาเผด็จการเท่านั้น ไม่ได้คิดแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างจริงจัง
การทำเพื่อประชาชนโดยแท้จริง ก็คือ การทำให้ประชาชนมีอำนาจสูงสุด และนี่คือ การเมืองที่ถูกต้อง การเมืองที่ผู้นำของประเทศ ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ ให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ในสถานการณ์นี้ ขอเรียกร้องให้นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในสภา ร่วมกับมวลชนนอกสภา จัดตั้ง “สภาประชาชน” เพื่อต่อสู้กับสภาเผด็จการโดยเร็ว เพื่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ทำให้พวกคุณ ได้กลายมาเป็นผู้นำประเทศ ที่เป็นคนทำประโยชน์ เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ว่า ประวัติศาสตร์เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มาจากการตระบัดสัตย์เพียงเรื่องเดียว จึงทำให้ผู้คนลุกขึ้นมาขับไล่ แล้วอำนาจจึงพังพาบลงไป ขณะนี้การแก้ รธน.ที่ถูกคว่ำไปนั้น เป็นเพราะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีขบวนการสมคบคิดขัดขวางร่างแก้ ผู้นำรัฐบาลกลับไม่รับผิดชอบ เท่ากับเป็นการตระบัดสัตย์ต่อสัจจวาจาที่ให้กับประชาชน ล่าสุด ส่อแนวโน้มว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติ จะมีทีท่าล่าช้าออกไป เพราะบรรดาแก๊งสมคบคิดเดิมๆ จ้องยื่นให้ศาล รธน.วินิจฉัยอีก
บ้านเมืองจะอยู่กับการปราศจากความหวังหรืออยู่ท่ามกลางการหลอกลวง ตระบัดสัตย์ ทรยศซ้ำๆ เช่นนี้ไม่ได้อีก ขณะนี้ยังไม่มีวีแววการรับผิดชอบจากรัฐบาลมีแต่การเยาะเย้ย ดังนั้น การระดมความคิดเห็นในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ที่สมาคมนักข่าว จึงเริ่มเกิดการวิตกจริตขึ้นมาจากฝ่ายรัฐบาล ยืนยันกับประชาชนว่า ไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางการเมือง เชื่ออย่างไรขอวางไว้ชั่วคราว เพื่อมาคิดหาทางช่วยบ้านเมืองก่อน
“ถ้าคนไทยไม่ลุกขึ้นมาจัดการแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯยาวนานที่สุดในประเทศ หากทำให้สิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นผลงานเป็นที่ประจักษ์ จะอยู่เป็นชาติไม่มีใครว่า แต่เมื่อตระบัดสัตย์แล้วยังอยู่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะเป็นคนไทย”
ส่วนการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวก็ว่ากันต่อไป แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นปัญหาหลัก และได้เวลาของประเทศไทยกันแล้ว ดังนั้น การระดมความคิดต่างๆ เป็นสนามเปิดจึงจำเป็นของพวกเรา และคราวนี้ทุกฝ่ายควรมาร่วมกัน เพราะเกิดการตระบัดสัตย์อย่างชัดเจนขึ้น มารอบนี้ มันเป็นรอบที่มีความสำคัญ ผมอดทนถึงที่สุด แม้ถูกอธิบายด้วยการเข้าใจผิดมาตลอดเวลา แต่ต้องรอจนถึงสถานการณ์นี้ ที่มองเห็นว่าได้เวลาแล้ว คนไม่รักษาสัจจวาจาไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะปกครองประเทศนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การหลอมรวมหัวใจคนไทยทั้งชาติ อาจไม่ได้เห็นด้วยกันหมด ส่วนขบวนการต่อไปนี้ต้องเปิดกว้างกันมากที่สุด แม้เราเคยเจ็บปวด มีความร้าวรานมากันทั้งนั้น แต่เราจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกต่อไปไม่ได้
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ตอบโต้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า
การที่นายกฯให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า “แก้ให้ได้ก็แล้วกัน” นั้น ตนมั่นใจว่าไม่ได้มีนัยยะอะไร เพราะรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภาอยู่แล้ว ท่านนายกฯพูดไม่ได้ท้าทายอะไรเพียงบอกความหมายว่า ให้สมาชิกรัฐสภา ส.ส. ส.ว.ไปแก้กันเองแก้กันให้ได้ นายกฯยินดียอมรับทุกอย่างในการแก้ไข ขอให้เป็นไปตามกติกาไม่เคยคิดขัดขวางการแก้ไข นายจตุพร อย่าเที่ยวมาแปลความหมายในทางผิดๆ เพื่อใส่ความนายกฯ
นายเสกสกล กล่าวว่า ถ้านายจตุพร จะระดมความคิดเห็นของประชาชนสามารถทำได้ หากเป็นการระดมความคิดเห็น ที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยแท้จริง แต่อย่าเอามาเชื่อมโยงกับนายกฯ และอย่ามาบอกว่า หากนายกฯยังอยู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่สำเร็จ เพราะเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯเลย
ขณะเดียวกัน นายกฯเข้ามาบริหารบ้านเมืองแบบถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดอะไร ซึ่งจะต้องอยู่จนครบวาระ อีกทั้งที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองหลายอย่าง ดังนั้น ก็ขออย่านำเรื่องต่างๆ ออกมาเพื่อตำหนินายกฯ โดยขอให้คิดถึงข้อเท็จจริงบ้างไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะให้นายกฯลาออก
“ก่อนหน้านี้ ก็มาก็บอกว่า นายกฯเข้าไปสั่งการ ส.ส. ส.ว.ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออยากอยู่ต่อ ทั้งที่นายกฯไม่เคยเข้าไปสั่งการใครได้ และตอนนี้กลับออกมาบอกว่านายกฯต้องรับผิดชอบ ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ถูกคว่ำ ให้นายกฯแสดงความจริงใจ ที่ผ่านมานายกฯยืนยันมาโดยตลอดแล้วว่า สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วนายจตุพรจะเอาอย่างไรอีก”
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า คนอย่างนายจตุพรจะทำอะไรคิดอะไรก็มักจะผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยเข็ดหลาบ ตนอยากเตือนด้วยความหวังดีว่า ที่ประเทศมันวุ่นวายตั้งแต่ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ เพราะคนที่มีแนวความคิดเยี่ยงนี้แหละ เอาความคิดตัวเองถูกต้องเสมอไม่มีเหตุมีผล อย่าให้ตนออกมาพูดออกมาแฉเลย ว่าใครพาคนเสื้อแดงไปตายเกือบร้อยศพ อย่าให้มารื้อฟื้นเผากันเองเลย ช่วยกันเอาเวลาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณคนเสื้อแดงได้ไปสู่สรวงสวรรค์อย่างสงบเสียทีเถอะ
“ถ้านายจตุพรไม่หยุด คนที่จะเสียหายคือนายจตุพรเอง มันหมดยุคสมัยของนายจตุพรแล้ว ควรกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ หันมาช่วยกันทำความดีเพื่อบ้านเมือง มาช่วยกันปกป้องสถาบันกษัตริย์ อย่ามาเที่ยวไล่นายกฯ ผมชักสงสัย หรือว่านายจตุพรไปรับงานมาเพื่อให้แก๊งนายทักษิณ หรือแก๊งธนาธรขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หวังทุจริตโกงกินหรือทำลายสถาบันเบื้องสูง เช่นนั้นหรือ” นายเสกสกล กล่าว
ทั้งยังกล่าวด้วยว่า หวังว่า นายจตุพรคงไม่แอบไปรับงานคนพวกนี้มาอีก ตนเองชักเริ่มสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ถ้านายจตุพรไม่หยุดสันดานเก่าๆ ตนก็พร้อมที่จะออกมาแฉพฤติกรรมให้ชาวโลกได้รับรู้เหมือนกัน ว่าจุดยืนของนายจตุพรเป็นเช่นไร ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ตนเองหรือเพื่อประโยชน์ของใคร จนคนเสื้อแดงต้องตายอย่างมากมาย ทำไมจึงคิดไม่เป็น เสียดายถ้าเกิดนายจตุพรจะยอมเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนที่ชังชาติหวังทำลายสถาบัน นายจตุพรจะไม่เหลือคุณค่าอะไรสักนิดเลยในชีวิต”
แน่นอน, สิ่งที่สะท้อนออกมาของแต่ละคนถือเป็นเรื่องใหญ่ นับแต่ “ลุงไพศาล” เปิดเผยว่า ทูตไทยทั้งอดีตและปัจจุบัน เปิดแนวรบขบวนการล้มเจ้าอย่างหนัก ก็เริ่มเป็นที่สังเกตเหมือนกัน จากเสียงบ่นของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และลี้ภัยในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่า เป็น “ล้มเจ้า” ตัวแม่
ทำนองว่า เคลื่อนไหวลำบากขึ้น เพราะถูกลบโพสต์ที่พูดถึง “เจ้า” จากนั้นโพสต์เฟซบุ๊กก็หยุดไป ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า โพสต์เฟซบุ๊กของนายปวิน มีเยาวชนไทยและคนไทยติดตามจำนวนมาก เรื่องนี้น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดี
ดังนั้น เมื่อกลุ่มคนล้มเจ้าในต่างประเทศ ถูกจัดการจนสิ้นซาก หรือ เคลื่อนไหวยากลำบากในประเทศที่ลี้ภัยแล้ว การปลุกปั่นยุยง จากกลุ่มเหล่านี้ก็ถือว่าน้อยลง และอาจหมดไปในที่สุด
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เหลือแต่กลุ่มล้มเจ้าในไทย ซึ่งใครเป็นใคร ทุกวันนี้ก็แทบจะเปิดตัวออกมาหมดแล้ว?
เรื่องของ “นคร มาฉิม” ประเด็นก็คือ ความผิดหวังกับพวกตัวเอง ถึงขั้นด่าขี้ขลาด และเห็นว่า ไม่กล้าที่จะปลดแอกจาก “สภาเผด็จการ” เพราะหลงใหลในอำนาจและผลประโยชน์ มากกว่า จริงใจที่จะผลักดันอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน อย่างที่กล่าวอ้าง จึงเสนอให้รวมพลังก่อตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมาต่อสู้อย่างจริงจังเสียที ซึ่งแน่นอน นายนคร เชื่อมั่นอย่างสูงใน “ม็อบ 3 นิ้ว” ทั้งยุทธศาสตร์และแนวทางต่อสู้
มาถึงกรณี “ตู่-จตุพร” เสนอแนวทางที่เปิดกว้างในการจัดการกับ “ลุงตู่” เพราะเห็นว่า “ตระบัดสัตย์” อยู่เบื้องหลังการคว่ำร่างแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 โดยยึดเอาเวทีพูดคุยที่จัดโดยสมาคมนักข่าว เป็นจุดเริ่ม
ทว่ายังไปไม่ถึงไหน ก็ถูก “แรมโบ้อีสาน” คนคุ้นเคยและรู้เช่นเห็นชาติกันดี ออกมาโจมตีอย่างหนัก สงสัยรับงานใครมาหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องการเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ทั้งยังขู่แฉเรื่องเก่าสมัย “ม็อบคนเสื้อแดง” ด้วย ว่าใครพาคนเสื้อแดงไปตาย ถ้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการขับไล่ “ลุงตู่” ออกจากตำแหน่ง
ทั้งหมด หนีไม่พ้นการต่อสู้ทางการเมือง ของ “สองขั้ว” ขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาลและผู้มีอำนาจ กับฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จนเลยเถิดไปถึง “ปฏิรูปเจ้า-ไม่เอาเจ้า?” ซึ่งดูเหมือน “จตุพร” กำลังเสนอแนวคิดแทรกกลางเข้ามาใหม่ว่า “ขับไล่ลุงตู่” ดีกว่า? นี่คือ ประเด็น
และไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเกมการเมือง ที่คนไทยทุกคนจะได้รับ นั่นคือ ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญที่ยาวนานเกินคาด เพราะปัญหาการเมืองจะซ้ำเติมเศรษฐกิจจนแทบโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว ไม่เชื่อคอยดู!!!