เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงอดสังเวชใจกับบรรดาคนที่เรียกว่าอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยบางกลุ่ม ที่ล่าสุดถึงขนาดยกขบวนกันเข้าพบอุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เมื่อวันก่อน โดยเข้าไปพร้อมกับพวก “แม่ๆ” ผู้ปกครองของ “จำเลย” และผู้ต้องหาในหลายคดี ทั้งคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ตามมาตรา 112 คดียุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ความผิด มาตรา 116 และอีกหลายคดียาวเป็นหางว่าว
โดยจำเลยเหล่านั้นศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว แม้ว่าจะมีความพยายามกันทุกทางแล้วก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย มีการกระทำซ้ำซาก
ตามข่าวบอกว่าคนที่นำเข้าไป ก็คือ นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วย แม่ของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” และ แม่ของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” เป็นต้น
ภาพที่เห็นจึงไม่ต่างจากการเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก “เจ้านาย” หรือ “บริวาร” ไปขอให้ช่วย “คุ้มหัว” ให้หน่อย หรือแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” สารพัด แม้ว่าทางสถานทูตสหรัฐฯ โดยอุปทูตสหรัฐฯ คนดังกล่าวจะพยายามชี้แจงว่าเป็นการเข้าพบกันตามปกติ ที่ทางสถานทูตสหรัฐฯ เปิดกว้างพูดคุยกับทุกฝ่ายเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และการอยู่ร่วมกัน ฯลฯ ก็ว่ากันไป
แต่หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ รวมไปถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาตลอดก็จะรับรู้ว่า ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ดำเนินการในลักษณะ “ให้ท้าย” กลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” พวกนี้มาตลอด ตั้งแต่การเชิญ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ เข้าไปในสถานทูต ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ที่เริ่มมีความคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์มาแล้ว จนนายพริษฐ์ เคยโพสต์ชื่นชมอวดโอ่ว่า “ชีสเค้ก” ที่นั่นอร่อยมากมาแล้ว
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นเรื่องที่ต่างความคิดเห็น ที่เห็นต่างกันได้ในสังคม แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เกิดขึ้นถือว่า “ล้ำเส้น” ไปมาก เพราะไม่ต่างจากความพยายามดึง “ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง” กิจการภายในของบ้านเรา เหมือนกับการยอมเป็นเครื่องมือของต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่พยายามเข้ามาอิทธิพลในภูมิภาคเพื่อแข่งขันทางด้านผลประโยชน์กับประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมา พยายามแทรกแซงผ่านรัฐบาลไทยมาตลอด เพียงแต่ว่าไม่สมประโยชน์ เนื่องจากออกมาในลักษณะ “ถ่วงดุล” ไม่ได้เอนไปข้างใดข้างหนึ่ง
จะด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาพยายามกดดันไทยในทุกทางเพื่อให้เปลี่ยนแปลงท่าที โดยที่ผ่านมามักจะยกเอาเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” มาบังคับอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่ได้ผล
ขณะเดียวกัน การแสดงท่าทีสนับสนุนกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีเป้าหมายเพื่อ “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” อย่างชัดแจ้ง มันก็ยิ่งทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่มีความรักในสถาบันฯ เริ่มไม่พอใจกับความเคลื่อนไหวของทางการสหรัฐฯ ทั้งในรูปของทางสถานทูต รวมไปถึงการให้การสนับสนุนองค์กรเอกชนในเครือข่าย ที่มีหลักฐานเชื่อมโยงว่าอยู่เบื้องหลังจากชุมนุมของ “กลุ่มสามนิ้ว” ทั้งทางตรงและทางอ้อม
หากแยกมาโฟกัสเฉพาะกลุ่ม “สามนิ้ว” ที่ประกาศว่า ต่อสู้เพื่อ “เสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค” หรือแม้แต่การประกาศแบบเท่ๆ ว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงจงเจริญ” อะไรนั่น แม้จะมีเป้าหมายหลักเพื่อมุ่งโจมตี “สถาบันฯ” ในเรื่องศักดินา แต่อีกด้านหนึ่งหากไป
ผูกติดอยู่กับสหรัฐอเมริกาแล้ว ข้อเรียกร้องดังกล่าวมันไม่มีทางเป็นจริงได้เลย อีกทั้งยังไม่ใช่แนวทางของ “ฝ่ายซ้าย”ที่พยายามชูออกมาก่อนหน้านี้
เพราะภาพของสหรัฐฯ ที่ติดตาคนทั้งโลกก็คือ “จักรวรรดินิยม” เป็นภาพของ “ซาตาน” ที่เป็นสัญลักษณ์ของ “ทุนนิยมขูดรีด” จนสร้างฉิบหายไปทั่วโลก
ภาพที่ออกมาของกลุ่มม็อบสามนิ้ว รวมไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมไปถึงการอ้างถึงการปฏิวัติประชาชนแบบฝรั่งเศสในอดีตของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นักเคลื่อนไหวในทีมของนายธนาธร และเครือข่าย ภาพจึงไม่ได้ต่างกัน เป็นลักษณะของการ “ชักศึกเข้าบ้าน” เชิดชูพวกฝรั่งต่างชาติ ที่เนื้อแท้แล้วไม่เคยมองคนเอเชียในแบบ “ภราดรภาพ” หรือความเป็นพี่น้องเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มีแต่ความเหยียดหยามเหมือนกับการเกิดกระแสชัดเจนมากขึ้นในแทบทุกประเทศในแถบตะวันตกเวลานี้
ดังนั้น การเคลื่อนไหวของกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” และเครือข่ายสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง ที่เชิดชูสหรัฐอเมริกา ในแบบที่ยอมเป็นเครื่องมือของต่างชาติ เพื่อเป้าหมายของตัวเองในความพยายามล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพฤติกรรมที่ “ย้อนแย้ง” กันอย่างชัดเจน เนื่องจากภาพลักษณ์ของอเมริกาในสายตาชาวโลกไม่ต่างจาก “ปีศาจ” เป็นทุนนิยมผูกขาด ไม่มีมิตรแท้ ที่สำคัญสำหรับประเทศนี้ไม่มีคำว่า “เสรีภาพ ภราดรภาพและเสมอภาค” อย่างแท้จริง ทุกอย่างมีแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น และไทยก็เป็นเป้าหมายสำคัญในภูมิภาค !!