ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (25 ก.พ.) สั่งการให้กองทัพอเมริกาโจมตีทางอากาศทางภาคตะวันออกของซีเรีย ถล่มสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ทางเพนตากอนระบุว่าเป็นของพวกนักรบที่อิหร่านหนุนหลัง ตอบโต้เหตุยิงจรวดโจมตีฐานที่มั่นต่างๆ ของสหรัฐฯในอิรักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เหตุโจมตีดังกล่าว ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเป็นแห่งแรก ดูเหมือนจะดำเนินการในขอบเขตจำกัด มีความเสี่ยงระดับต่ำที่จะก่อสถานการณ์ลุกลามบานปลาย
การตัดสินใจของไบเดน ในการลงมือโจมตีเฉพาะซีเรีย ไม่รวมถึงอิรัก อย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้ ช่วยรัฐบาลแบกแดดเบาใจไปได้บ้าง ในขณะที่พวกเขายังคงอยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนเหตุโจมตีภายในประเทศเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งส่งผลให้กำลังพลและบุคลกรของสหรัฐฯได้รับบาดเจ็บหลายคน
“ตามคำสั่งของประธานาธิบดีไบเดน ก่อนหน้านี้ ในตอนเย็น กองทัพสหรัฐฯปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มโครงสร้างพื้นฐานของพวกนักรบที่อิหร่านสนับสนุน ทางภาคตะวันออกของซีเรีย” จอห์น เคอร์บี โฆษกเพนตากอนระบุในถ้อยแถลง “ประธานาธิบดี ไบเดน จะดำเนินการเพื่อปกป้องชาวอเมริกันและบุคลากรของพันธมิตร ในขณะเดียวกัน เราลงมือในแนวทางที่รอบคอบ โดยมีเป้าหมายไม่ให้สถานการณ์ในภาพรวม ทั้งทางภาคตะวันออกของซีเรียและอิรัก ลุกลามบานปลาย”
โฆษกรายนี้เผยว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บริเวณจุดควบคุมชายแดน ที่ถูกใช้งานโดยพวกกลุ่มนักรบที่อิหร่านหนุนหลัง ในนั้นรวมถึงกลุ่มติดอาวุธกาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ และกลุ่มกาตาอิบ ซัยยิด อัล-ชูฮาดาอฺ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่า การตัดสินในปฏิบัติการโจมตีดังกล่าว มีเจตนาส่งสารว่า แม้อเมริกาต้องการลงทัณฑ์พวกนักรบ แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายขยายวงเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่โตขึ้น
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯในครั้งนี้ ก่อความเสียหายหรือความสูญเสียมากน้อยแค่ไหน แต่ทางกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรีย ระบุว่ามีพวกนักรบฝักใฝ่อิหร่านเสียชีวิต 17 ราย
เหตุยิงจรวดถล่มฐานที่มั่นต่างๆ ของสหรัฐฯในอิรัก กระตุ้นให้เกิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศแก้แค้นของอเมริกาหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯและอิหร่าน กำลังหาทางคืนสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ที่ทางอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวในปี 2018
ยังไม่แน่ชัดว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อความพยายามของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังหาทางโน้มน้าวอิหร่านหวนคืนสู่การเจรจา ที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 อีกครั้ง
ในเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จรวดตกใส่ฐานทัพทหารสหรัฐฯ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเออร์บิล ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่พลเรือนของบริษัทสัญญาจ้างด้านความมั่นคงแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ เสียชีวิต 1 ราย พนักงานบริษัทสัญญาจ้างได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งและบุคลากรทางทหารของสหรัฐฯได้รับบาดเจ็บ 1 คน
จากนั้นไม่กี่วันต่อมา ยังเกิดเหตุโจมตีฐานที่มั่นแห่งหนึ่งทางเหนือของแบกแดด ซึ่งมีกองกำลังอเมริกาประจำการอยู่ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่พลเรือนของบริษัทสัญญาจ้างด้านความมั่นคงแห่ง ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 1 ราย และเมื่อวันจันทร์ (22 ก.พ.) จรวดหลายลุกพุ่งเข้ามาตกในเขตกรีนโซนของแบกแดด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตสหรัฐฯและสถานทูตชาติอื่นๆ แต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเหตุสูญเสียใดๆ
ภายใต้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์ความตึงเครียดขึ้นๆ ลงๆ ก่อนทวีความร้อนแรงถึงขั้นเดือดสุด จากกรณีที่สหรัฐฯสังหาร นายพล กาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ (Quds) อิหร่าน และอิหร่าน แก้แค้นด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีกองกำลังสหรัฐฯในอิรักเมื่อปีที่แล้ว
(ที่มา: รอยเตอร์)