ตอบสาวก 3 นิ้ว! “ทักษิณ” พูดเป็นนัย โลกทั้งโลกไม่ได้เท่าค่ายทหาร แนะทางออกต้องมีใจเจรจา “ชูวิทย์” เตือน “พวกกวิ้น” ของแสลงที่ไม่ธรรมดา อย่าคิดทำอะไรแปลกๆ “ศรีสุวรรณ” แฉหลักฐานเด็ด “อดอาหารไม่จริง”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากวานนี้ (16 มี.ค.) กลุ่ม CARE จัด Clubhouse โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยและได้ตอบคำถาม
กรณีแกนนำกลุ่มราษฎรเปิดเผยว่า มีเหตุการณ์ผิดปกติในกระบวนการคุมขัง เช่น มีการจะนำตัวผู้ถูกกล่าวหาไปตรวจโควิดช่วงยามวิกาล การไม่ให้ประกันตัว รวมถึงการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทางการเมือง ถือเป็นการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรงหรือไม่ว่า
การตรวจโควิดเที่ยงคืน เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะแดนนักโทษประหารชีวิต 18.00 น. เขาไม่ยุ่งแล้ว คนป่วยจะตายยังรอ 08.00 น. ซึ่งหากเราไม่มีหลักสากล ใครจะมาคบ และลงทุนกับเรา เราต้องมีกติกาที่เป็นสากล เราเป็นประเทศที่ศรีวิไลซ์ ไม่ใช่ประเทศหลังเขา สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะไม่เกิดขึ้น
ถ้ายึดหลัก ควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้ ได้ประกันตัว ต้องยึดหลักการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมายที่ยุติธรรม ยุคนี้คนมันคิดเป็น โซเชียลมีเดียมันมีหลักฐาน ผ่านไป 10 ปี ก็ค้นเจอ เมื่อค้นเจอแล้วถามว่า เราตายล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่ทำไปมันถูกไหม ลูกหลานจะคิดอย่างไร? ต้องมองไกล อย่ามองใกล้ โลกทั้งโลกไม่ได้เท่าค่ายทหาร เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ดูตามหลักสากลเขาด้วย ถ้าโลกเขาไม่ยอมรับจะทำอะไรเจรจาอะไรมันก็ลำบาก
นายทักษิณ กล่าวตอบคำถามที่มีคนถามเรื่อง ถ้ามีผู้นำจากต่างชาติสนใจเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญในไทย พรุ่งนี้มีการพิจารณาวาระสาม เห็นว่าอย่างไร ว่า ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้ที่กำลังเกิดขึ้น และกำลังจะมีวาระ 3 ในวันนี้ ไม่มีการแก้ หมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้แก้ทั้งฉบับ ตนถือว่า เป็น Judicial Overreach (ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงในอำนาจของนิติบัญญัติ) ไปแล้ว ถ้าวาระ 3 ควรจะโหวตทำประชามติได้ เพราะไม่ได้มีการแตะหมวด 1-2 แต่วันนี้ มีการให้นักกฎหมายมาตีความว่า โหวตไม่ได้ เหตุผลหนึ่ง ตีความตามเนื้อหากฎหมายที่แท้จริง สอง ตีความตามอคติของตัวเอง สาม ตีความตามธง ตามกฎหมายมันเป็น judicial overreach
นายทักษิณ ยังตอบคำถามกรณีที่ถามว่า ในปัจจุบันศาล อัยการ สิทธิเยาวชน ประชาชนถูกลิดรอนไม่ได้สิทธิเท่าเทียมกัน จะเจรจาองค์กรต่างประเทศมาช่วยตรงนี้อย่างไร ว่า มันเป็นหน้าที่ของเราเอง ซึ่งในต่างประเทศ เขาก็มีหน้าที่ของเขาที่หนักหนาอยู่ ประเทศเราโดยเฉพาะรัฐบาล องค์กรที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน ควรดูแลเยาวชน วันนี้เยาวชนยังมืดมน เด็กคิดแล้วว่า จะเอาอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง และมีเรื่องสิทธิเสรีภาพอีก
นายทักษิณ ยังตอบคำถาม ที่มีการถามว่า ประเทศเราเหมือน 2 ประเทศ ว่า มันต้องมีใจเจรจา ถ้าไม่มีใจ ก็ตั้งแง่ใส่กันมันเป็นไปไม่ได้ คือ ถ้าบอกเป็นคนไทยด้วยกัน เรารักคนไทย และหมดความขัดแย้งก็คุยกัน ใจมันต้องไป คือสำคัญที่ใจ ถ้าใจมันไม่ไปคุยกันไม่เป็นประโยชน์ ตนคิดว่า เรื่องราวจบไปกันได้ แต่ก็ยังยุแหย่กัน สมมติว่าร่างกาย มือซ้ายไม่ถูกกันกับมือขวา จะยกของได้หรือ ดังนั้น ซ้ายกับขวาต้องสามัคคี มันถึงจะสู้เขาได้ (สยามรัฐ)
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์ โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ระบุว่า
“ศิลปะในการ หนีคุก
เรื่องแบบนี้ โทนี่ จะเล่าไหม ?”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“เรื่องแปลกแต่จริงในเรือนจำ
ในฐานะเป็นศิษย์เก่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงขอชี้แจงแถลงไขให้สาธารณชนเข้าใจแบบตรงไปตรงมา อย่างที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ “เหลี่ยมคุก”
ไม่ใช่พูดโดยไม่รู้ หรือเข้าข้างกัน
1. มีคดีที่ไหน ขึ้นศาลที่นั่น ติดคุกที่พื้นที่นั้นๆ เช่น ไปก่อเรื่องหรือถูกฟ้องคดีอาญาในกรุงเทพฯ ขึ้นศาลอาญารัชดา หรือศาลอาญากรุงเทพใต้ ตรงเจริญกรุง แล้วไม่ได้ประกัน หรือคดีสิ้นสุด จะต้องไปติดคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
หากคดียาเสพติดไปทัณฑสถานบำบัดกลาง หากเป็นผู้หญิงไปทัณฑสถานหญิงกลาง
แต่ถ้าถูกจำคุกเกิน 15 ปี ไปเรือนจำคลองเปรม หากหนักกว่านั้น ไปเรือนจำบางขวาง ที่รับนักโทษหนักอุกฉกรรจ์ทั่วประเทศ
ปัญหาคือพวกไม่ได้ประกันตัว มีสถานะว่า ข.ช. หรือขังชาย (หากเป็นหญิง ข.ญ. หรือขังหญิง) พวกนี้คือแบบเพนกวินและพวก ที่มีสถานะ ข.ช. ซึ่งถือว่ายังต่อสู้คดีอยู่ ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าผิดหรือถูก
แต่ถูกเอาไปขังรวมกับพวก น.ช. (นักโทษเด็ดขาดชาย) ที่คดีสิ้นสุดแล้ว กระบวนการทางกฎหมายจบแล้ว ได้ “ใบเด็ดขาด” จากศาลมาแล้ว
การไปขังรวมกันทำให้ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามหลัก ทั้งกฎหมาย และสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
แต่ด้วยกรมราชทัณฑ์มีงบประมาณจำกัด พื้นที่จำกัด จึงจำเป็นต้องขังรวมกัน
2. การติดต่อสื่อสาร หรือส่งจดหมายใดๆ ออกมา ต้องถูกตรวจเซ็นเซอร์ทุกฉบับ แม้แต่นักโทษต่างชาติเขียนภาษาอังกฤษ ก็ต้องถูกเซ็นเซอร์หมด
ไม่มีทางจะเอาจดหมายออกจากเรือนจำโดยไม่ผ่านตา หรือไม่ถูกอ่านจากผู้คุมได้เลย จะฝากคนออกมาก็ไม่ได้ เพราะต้องถูกค้นตัว ห้ามนำของออก ยกเว้นของส่วนตัว
ที่ทนายอานนท์เขียนคงอยู่ในช่วงไปศาล หารือกับทนาย ด้วยตัวเองเป็นทนายด้วย ก็คงได้โอกาสเขียนจดหมายน้อยออกมาได้
3. หลังปิดขัง ตั้งแต่ บ่าย 3 โมง ถึง 6 โมงเช้า 15 ชั่วโมง เหมือนอยู่ในกรงขังที่ถูกปิด ไม่ว่าจะไม่สบาย หรือตาย จะไม่มีทางเปิดห้องขังจนกว่าจะเช้า ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้คุม
หากตายก็ทิ้งไว้อย่างนั้น คนข้างๆ ต้องนอนข้างศพยันเช้า
ที่บรรดา 3 นิ้ว ย้ายจากเรือนจำพิเศษธนบุรี มาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะต้องถูกส่งตัวไปแดน 2 โดยทันทีเพื่อกักตัว เหมือนคนอื่นที่เข้าคุกมาใหม่ แม้แต่เยี่ยมญาติก็ทำไม่ได้ หรือจะพบทนายก็ต้องผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เท่านั้น
แต่เที่ยวเข้าไปเอาตัวถึงในห้องขังตอนดึก แล้วอ้างว่าเพราะมาจากเรือนจำพิเศษธนบุรี จึงต้องตรวจโควิดกันตอนดึกๆ ดื่นๆ มันผิดวิสัย เรือนจำทุกที่ล้วนไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงแต่อย่างใด
ทำอะไรพิลึก ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าบรรดา 3 นิ้ว เป็นนักโทษการเมือง เพนกวินและพวกเขาธรรมดาที่ไหน?
พวกนี้เป็นของแสลงในคุก หากเป็นอะไรไป คนเดือดร้อน คือ ผู้บัญชาการเรือนจำ กฤช กระแสร์ทิพย์ ต้องรับผิดชอบ
อย่าไปทำเรื่องแปลกๆ เลยครับ
เดี๋ยวเขาจะหาว่ากลั่นแกล้งกัน”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ที่กรมราชทัณฑ์ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วย นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงชี้แจงกรณีนายอานนท์ นำพา เขียนจดหมายอ้างถูกเจ้าหน้าที่พยายามนำตัวออกจากห้องควบคุมกลางดึก กลัวจะถูกทำร้ายหมายเอาชีวิต ปรากฏในโซเซียลมีเดีย ว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องขังไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นมาตรการปกติของเรือนจำที่ป้องกันการแพร่ระบาด และป้องกันเหตุจลาจลที่อาจเกิดขึ้นในเรือนจำ ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเป็นความมั่นคงของทางเรือนจำ ที่ผ่านมา การคัดกรองในรูปแบบนี้ก็ป้องการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี และการพบเชื้อร้อยละ 90 ก็เกิดจากการตรวจเชิงลึก ไม่ใช่เป็นการแสดงอาการป่วย
“ยืนยันว่า การคุมตัวจำเลย หรือผู้ต้องขังออกไปนอกสถานที่ เช่น ไปศาล จะมีการค้นตัวทั้งขาไปและขากลับ รวมถึงการเยี่ยมญาติด้วย ดังนั้น จดหมายจากทนายอานนท์ ไม่ได้นำออกไปจากเรือนจำ และในเรือนจำไม่มีเครื่องมือสื่อสาร แม้แต่นาฬิกาก็ไม่มี กรณีนี้กรมราชทัณฑ์ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับแอดมินเพจอานนท์ นำภา ไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง และจะแจ้งความเพิ่มอีก เพื่อสืบหาว่าแอดมินใช้งานจากที่ไหน” นายอายุตม์ กล่าว
และว่า ภายในเรือนจำยังมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทุกพื้นที่ รวมถึงภายในห้องควบคุม หากศาลให้เรียกหลักฐานส่วนนี้ก็สามารถนำไปเสนอต่อศาลได้ ไม่มีการทำร้ายร่างกาย หรือละเมิดสิทธิจำเลย หรือผู้ต้องขังอย่างแน่นอน
นายอายุตม์ ยังกล่าวถึงกรณี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ประกาศอดอาหารประท้วงที่ไม่ได้รับการประกันตัวว่า นายพริษฐ์ ได้แจ้งเจ้าหน้าที่จะอดอาหาร ดื่มเพียงน้ำ นม และเกลือแร่ เท่านั้น ทางกรมราชทัณฑ์ จึงจัดเตรียมนมและเกลือแร่ให้ผู้ต้องขัง พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิด เตรียมพยาบาลวิชาชีพ ทีมแพทย์ และนักจิตวิทยา คอยจับตาดูแลความปลอดภัย หากพบว่า มีอาการป่วยอ่อนเพลียจากการอดอาหารก็จะนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทันที
ด้าน นพ.วีระกิตติ์ กล่าวว่า ตนในฐานะรองอธิบดีฝ่ายปฏิบัติการ และเป็นแพทย์ด้วย ขอชี้แจงว่า เหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้ย้ายจำเลย 3 คน คือ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และนายปียรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ จากเรือนจำพิเศษธนบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำพื้นที่เสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโควิด มาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยจำเลยทั้งหมดมาถึงประมาณ 18.40 น.
หลังจากทำการซักประวัติเสร็จ ก็ได้นำตัวไปขังรวมกับผู้ต้องขังอื่นๆ ที่แดน 2 ซึ่งใช้เป็นสถานที่กักกันโรค เพื่อรอตรวจคัดกรองโควิด จากนั้นช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ได้ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าไปเจรจาขอความร่วมมือกับผู้ต้องขังทั้งสามคนย้ายห้องแยกจากผู้ต้องขังอื่นๆ ไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ระหว่างรอเจ้าหน้าที่มาตรวจโควิด แต่ทั้งสามคนไม่ยินยอม จึงเชิญแพทย์เวรและเจ้าหน้าที่ตรวจโควิดจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นแพทย์หญิงทั้งหมดเตรียมเครื่องมือเข้ามาตรวจโควิดผู้ต้องขังอื่นในเวลาประมาณ 23.00 น.
นพ.วีระกิตติ์ กล่าวอีกว่า เมื่อเจ้าหน้าที่นำผู้ต้องขังอื่น 9 คน ไปตรวจโควิด โดยนำตัวออกไปตรวจในที่โล่งทีละคนจนเสร็จ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ หรือประมาณเที่ยงคืน ก็ได้เจรจากับผู้ต้องขังที่เหลือขอให้ย้ายห้องอีกครั้ง เนื่องจากผู้ต้องขังที่ไม่ยอมตรวจโควิดมีจำนวนน้อยกว่า แต่ทั้งหมดก็ไม่ยินยอม จึงจัดเจ้าหน้าที่ชุดดูแลความปลอดภัยภายในเรือนจำมานำผู้ต้องขังอื่น 9 คนออกไป และกักตัวผู้ต้องขังที่ไม่ยอมตรวจโควิด 14 วัน
“ยืนยันว่า ตลอดเหตุการณ์ไม่มีการแตะตัวจำเลย และไม่มีเหตุวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น แต่จำเลยพูดกับเจ้าหน้าที่ ว่า พรุ่งนี้มีเรื่องแน่ และเหตุการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีประชาชนไม่ยอมตรวจหาเชื้อโควิด ทั้งนี้ การตรวจโควิดในเวลากลางคืน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมา ก็เคยตรวจป้องกันการแพร่ระบาดแบบนี้ในหลายเรือนจำ และก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการตรวจหนึ่งในแกนนำในช่วงเวลากลางคืนมาแล้ว ซึ่งแกนนำคนนั้นยังขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนอื่นๆ อย่างเท่าเทียมด้วย”
นอกจากนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟซบุ๊กเปิดใบเสร็จรับเงินรายการสั่งอาหารให้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 ระบุว่า
“นี่ขนาดประกาศอดข้าวนะ... ผมเชื่อแล้วครับบบบ กรณี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำราษฎร ลุกขึ้นแถลงต่อศาลขออดข้าวประท้วง แต่จะขอดื่มเพียงน้ำหวาน และนม จนกว่าจะได้ประกันตัว”
แน่นอน, สิ่งที่หลายฝ่ายคาดคิด กับที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจง ดูเหมือนยังยืนอยู่คนละจุด
โดยเฉพาะประเด็น ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า จำเป็นต้องยึดหลักสากลเขาทำกัน? ตรวจในเวลาดึกดื่น เขาทำกันหรือไม่ นี่ก็อีกประเด็น
อีกฝ่ายชี้แจงว่า เป็นเรื่องปกติที่เรือนจำเคยทำอยู่แล้ว หรือว่า เรื่องนี้อยู่ที่ระเบียบของเรือนจำแต่ละแห่ง แต่ละประเทศ ไม่ต้องทำเหมือนกันเป็นสากล ผู้รู้ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีการขยายผลทางการเมืองแบบมั่วๆ เพราะ “ทักษิณ” ชี้ไปที่จุดนี้
แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ เรื่องนี้มีช่องให้ฝ่ายม็อบ 3 นิ้ว ใช้เป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย และยังหยิบยกมาเป็นเหตุผลใหม่ ที่ใช้ขอประกันตัวต่อศาลด้วย
เหนืออื่นใด ไม่รู้ว่า ผบ.เรือนจำ จะรู้หรือไม่ว่า “พวกแกนนำ 3 นิ้ว” เป็นของแสลงในคุก อย่างที่ “ชูวิทย์” ว่า การทำอะไรผิดแปลก จนเป็นที่สงสัยอย่างนี้ นอกจากถือว่าเปิดช่องแล้ว ยังพึงระวังปัญหาอื่นที่จะตามมาด้วย
เพราะหากมีใครสักคนเป็นอะไรไป อย่าว่าแต่ ผบ.เรือนจำ จะเดือดร้อนเลย ผู้มีอำนาจทั้งหมดก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน แถมจะไปเข้าทาง “3 นิ้วฟ้องโลก” ไปใหญ่ รวมทั้งเกม “ต่อสู้” ก็จะเปลี่ยนไปทันที
ส่วนศาลจะเชื่อฝ่ายไหน ให้ประกันแกนนำ 3 นิ้ว ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ ต้องจับตามองต่อไป