วันนี้ (15 มี.ค) ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา หรือวิปวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการประชุมเพื่อเตรียมการประชุมร่วมของรัฐสภาในวันที่ 17 มี.ค.ในการลงมติวาระ 3 ของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ พ.ศ. ... ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมาอย่างกว้างขวางและรอบด้าน ขณะนี้ยังไม่เห็นคำวินิจฉัยกลางฉบับเต็มของศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นจึงขอให้สมาชิกต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
นายคำนูณกล่าวว่า ที่ประชุมได้นำความเห็นของสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา มาประกอบการพิจารณาด้วย เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมจึงมีมติให้สมาชิกวุฒิสภาในฐานะสมาชิกรัฐสภาได้ติดตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาเพื่อประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจต่อไป ทั้งนี้ หากมีประเด็นเพิ่มเติมทางวิปวุฒิก็จะแจ้งให้สมาชิกทราบต่อไป
เมื่อถามว่าสุดท้ายต้องรอคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายคำนูณกล่าวว่า ขณะนี้เหตุการณ์ยังไม่มีอะไรคืบหน้าจากเมื่อ 3 วันที่แล้ว เพราะที่คาดว่าคำวินิจฉัยกลางจะออกมาในวันนี้ก็ยังไม่ออกมา ประกอบกับทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนัดประชุมในบ่ายวันนี้ (15 มี.ค.) ตราบใดที่ยังไม่เห็นคำวินิจฉัยกลาง คำแนะนำต่อวุฒิสภาจึงเป็นคำแนะนำเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา รัฐมนตรี องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ จึงเชื่อว่าหน่วยงานต่างๆ ก็รอติดตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังเหลืออีก 2 วันเต็ม
เมื่อถามว่าหากคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญออกมาไม่ทันในวันประชุมรัฐสภาจะทำอย่างไร นายคำนูณกล่าวว่า ก็ต้องรอ และใช้วิจารณญาณไปตามเฉพาะคำวินิจฉัยย่อที่ออกมา
เมื่อถามย้ำว่าจำเป็นต้องให้สมาชิกวุฒิโหวตไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายคำนูณกล่าวว่า ตามปกติวิปวุฒิทำได้เพียงแนะนำสมาชิกเท่านั้น ส่วนการลงมติอย่างไรเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกที่จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและใช้วิจารณญาณด้วยตัวของตัวเองโดยปราศจากการครอบงำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด