ข่าวปนคน คนปนข่าว
**คดีสั่งไม่ฟ้องบอสออกฤทธิ์ ตัด “เนตร นาคสุข” ออกจากบัญชีแต่งตั้งอัยการ ส่วนฝั่งตำรวจรอวัดใจ “ผบ.ตร.”
กรณีสำนักนายกรัฐมนตรี ตีกลับบัญชีรายชื่อแต่งตั้งอัยการไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะมีชื่อ “เนตร นาคสุข" และ “ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” ที่มีปัญหาถูกสอบสวนรวมอยู่ด้วย เรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน
“เนตร” นั้นกำลังถูกสอบสวนกรณีเป็นผู้สั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา คดีอื้อฉาวที่สังคมข้องใจอัยการสมคบตำรวจ ช่วยเหลือลูกมหาเศรษฐีพ้นผิด
ส่วน “ปรเมศวร์” ถูกกล่าวหาในคดีดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับรถ และขับขี่โดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างสอบสวนอย่างเงียบๆ เรื่องนี้บทสรุปว่า ในการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงการแก้ปัญหาดังกล่าว ว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้ข้อสรุปให้ส่งบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายกว่า 900 ตำแหน่งกลับไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยตัดชื่อบุคคลที่ยังมีปัญหา 2 คนออกไปก่อนแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด ที่ถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส และ “ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี ที่ถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจการอัยการ จบข่าวไม่ได้ไปต่อ
กล่าวเฉพาะ “เนตร นาคสุข” ถ้ายังจำกันได้ “คดีบอส” ที่สังคมสนใจ เสื่อมศรัทธากระบวนการยุติธรรม หลังจากคณะทำงานชุด “อ.วิชา มหาคุณ” สรุปส่งถึงมือนายกฯ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แล้ว “ลุงตู่” ส่งต่อให้อัยการ และตำรวจ รับไปสอบสวนกันเองก็เงียบกริบ ไม่มีอะไรออกมาจากกอไผ่
นี่ก็ต้องบอกว่า ที่ “เนตร นาคสุข” ถูกพิษไข้คดีสั่งไม่ฟ้องบอส ออกฤทธิ์คราวนี้แค่เรื่องของการแต่งตั้ง ยังไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำอะไรผิด เพราะขั้นตอนการสอบสวนยังไม่มีข้อสรุป และไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าจะสรุปเมื่อใด
ทั้งๆ ที่ ผลสอบคณะทำงานของ “อ.วิชา มหาคุณ” สรุปเรื่องราว ตัวละครที่เกี่ยวข้องไว้เบ็ดเสร็จครบถ้วนกระบวนความแล้ว โดยว่ากันว่า มีหลักฐานชัดเจนว่า มี “ขบวนการ” ช่วยเหลือคดี บอส อยู่วิทยา สมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ
พอ อัยการ และ ตำรวจ ถูกสั่งให้ไปสอบกันเอง ก็เตะถ่วงกันเรื่อยมา
ฝั่งอัยการถึงตรงนี้ยังนับว่าได้เคลื่อนไหวบ้าง เมื่อตัดชื่อ “เนตร” ออกจากบัญชีแต่งตั้งด้วยผลพวง “คดีบอส” ที่กำลังสอบกัน
แต่ฝั่งตำรวจ น่าเป็นห่วงกว่าฝั่งอัยการ เมื่อมีข่าววงในว่าตอนนี้ “คณะทำงานฯ” ที่ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้งให้สอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีบอส ลงนามแต่งตั้งไปตั้งแต่ ต.ค. 63 แทงเรื่องสรุปขึ้นมาเสนอถึง “บิ๊กปั๊ด” ขอความเห็นชอบให้ “ยุติ” การสอบสวน
หากข่าวนี้เป็นความจริงขึ้นมา ก็เท่ากับว่า คดีเมื่อปี 55 นับแต่ “บอส” ขับรถชนดาบตำรวจเสียชีวิต ลากยาวมาจนถึงปีนี้ นั้นตายฟรี ตายไปพร้อมกับความยุติธรรม
ผู้เสียชีวิตเป็นตำรวจ แต่ตำรวจพวกเดียวกันเองกลับไปสมคบคิดฝั่งผู้กระทำผิดมาวิ่งคดี ทำเอกสารเท็จ ลงวันที่เท็จ เปลี่ยนแปลงความเร็วรถเท็จ ให้กับ “บอส อยู่วิทยา” จนดาบตำรวจที่เสียชีวิตกลายเป็น “จำเลยร่วม”
ว่ากันว่า ผู้เกี่ยวข้องสมคบคิดนั้นมีตั้งแต่ตำรวจชั้นผู้น้อย ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เรื่อยไปจนถึงระดับ อดีต ผบ.ตร. ดังที่สื่อแง้มๆ กันออกจากผลสอบชุด “อ.วิชา”
งานนี้ ต้องวัดใจ “พล.ต.อ.สุวัฒน์” จะให้ความเห็นชอบอย่างไร ?
หากยุติไม่สอบต่อ ก็แปลว่าจะไม่มีตำรวจนายไหนเอี่ยวกับเรื่องนี้อีก บริสุทธิ์ผุดผ่องกันด้วยการช่วยเหลือกันอีกรอบ
นี่ก็ต้องถามกันตรงๆ ว่า ผบ.ตร. คิดว่าลงเอยแบบนี้สังคมจะรับไหวหรือ ?
**เข้าข่าย ม.157 มั้ยงานนี้? จับโป๊ะด้วยหนังสืออัยการ ชี้คดีไอซ์-พันสองบิ๊กตำรวจ เหตุเกิดนอกอาณาจักร ผบ.ตร.ไม่ทำตามขั้นตอน-ไม่มีอำนาจพูดแทน
ยังเป็น “Talk of the town” ในแวดวงสีกากี และสังคมที่เฝ้าติดตามการทำงานของตำรวจในยุค “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. กรณี “คดีจับกุมไอซ์ 1,500 กก.” และต่อมาพยานซัดทอดถึง “สองบิ๊กตำรวจ” ชื่อดัง ที่ทำไปทำมาจะกลายเป็นเรื่องที่ “บิ๊กปั๊ด” พยายาม “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ”
โดยเฉพาะกรณีที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไลฟ์สดผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” จับความไม่ชอบมาพากลหลัง ผบ.ตร.แถลงข่าวในเรื่องนี้ โดยงัดหลักฐานที่เชื่อได้ว่า “ผบ.ตร.” ส่อจะเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ทำตามขั้นตอนที่ควรทำหรือไม่ ?
อย่างที่ทราบกันดี คดีสะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้ เริ่มมาจากคำสั่งของ “พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รอง ผบ.ตร. ให้ตำรวจภาค 6 สอบสวนเพิ่มเติม เมื่อผู้ต้องหารายสำคัญรายหนึ่ง คือ “เกิดชนะ มินา” ได้ซัดทอดไปที่ “พ.ต.อ.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ” หรือ “รองต๊ะ” รองผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธร ภาค 6 และ “บิ๊กต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ประเด็นของเรื่อง ของ “แก่น” ที่ว่า ผบ.ตร. ละเลยที่จะไม่พูดถึงก็ คือ อัยการ และ ปปง. ที่ไม่ได้ร่วมแถลงด้วยวันนั้น มีความเห็นอย่างไรต่อคดีนี้
โฟกัสกันให้ชัดๆ ก็คือ คณะของ ผบ.ตร. ไม่ได้หยิบยกหนังสือจากอัยการที่ทำออกมาถึงพนักงานสอบสวน ภาค 6 หลังการซัดทอดของพยานต่อสองบิ๊กตำรวจ ทั้งๆ ที่เป็น “นัยสำคัญ”
ว่ากันว่า อัยการภาค 6 ได้มีหนังสือ 2 ฉบับ ให้คณะพนักงานสอบสวน ภ.6 สอบสวน ฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นเหตุให้ “พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รอง ผบ.ตร. ต้องทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ ภ.6 รายงานชี้แจงว่า ทำไมไม่ทำตามที่สั่งการไว้ดังกล่าว
และ สอง หนังสือจากอัยการจังหวัดแม่สอด ถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เลขที่ อส 0059 (แม่สอด)/408 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเนื้อความสรุปได้ ว่า... ตามคำให้การของ “เกิดชนะ” พยาน ได้ให้การพาดพิงถึงบุคคลซึ่งเป็นผู้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีนี้ และพนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีความเห็นทางสำนวนเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกพาดพิงดังกล่าว หรือดำเนินการขออนุมัติ เลขาธิการ ป.ป.ส. จับกุม หรือแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลที่ถูกพาดพิงดังกล่าวตามกฎหมายแต่อย่างใด โดยในชั้นนี้ มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมา ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัย
หมายความว่า อัยการต้องการข้อมูลเพิ่ม แต่ตำรวจภาค 6 ก็กลบเกลื่อนไขสือไปว่า ไม่พบประเด็นเกี่ยวข้องกับ “รองต๊ะ กับ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์” มีแค่คำให้การของ “เกิดชนะ” ที่พยายามหาสิ่งบ่งชี้แล้ว ไม่มีไปมากกว่าคำกล่าวของพยาน ว่าไปพบบุคคลที่ว่าที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ฝั่งเมียนมา
เรื่องนี้ ทั้งในวงใน อัยการ ในทางกฎหมายต่างเห็นว่า หากคนที่ “เกิดชนะ” กล่าวหาซัดทอดร่วมกันกระทำผิด การตกลงเพื่อกระทำผิดนี้เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เกิดขึ้นที่เมียวดี ประเทศเมียนมา ตามกฎหมายถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุด จะเป็นพนักงานสอบสวน ส่วนราชการอื่นไม่มีอำนาจสืบสวน และไม่มีอำนาจแถลงแทนด้วย
ทั้งนี้ เนื่องจากตำรวจไม่มีอำนาจสอบสวน หรือแถลงข่าว จึงอาจมีความผิด เป็นการแถลงไม่ชอบ เพราะการชี้ถูกผิด อัยการจะเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
นั่นหมายถึง ผบ.ตร. “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ที่นั่งแถลงข่าววันนั้น ก็สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด มาตรา 157
เรื่องนี้ ผบ.ตร. น่าจะรู้ดีกว่าใคร มิหนำซ้ำการยอมรับเองว่า คดีนี้ตั้งแต่ต้น “พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รอง ผบ.ตร. รายงานเรื่องนี้ให้กับตัวเองทราบมาตลอด ทั้งเสนอให้ตั้งกรรมการส่วนกลางขึ้นมาทำการสืบสวนสอบสวนด้วย โดยให้ดึงเรื่องออกมาจาก ตำรวจภูธร ภาค 6 เลย เนื่องจากผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ ผบ.ตร.ไม่ยอมทำ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำทันที แต่ไม่ทำ
งานนี้ จึงมีคำถามว่า เข้าข่ายผิด ม.157 หรือไม่ ?
อย่าทำเป็นเล่นไป ผบ.ตร. ที่ทั้งชีวิตรับราชการอยู่กับการสอบสวนสืบสวน ใครจะคิด อาจจะมาพลาดตกม้าตายทำขั้นตอนที่ควรทำไม่ทำ เพียงเพราะ ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ครานี้
นี่ก็ต้องติดตามกันต่อไปให้ดีๆ ขอย้ำว่า เรื่องนี้หนังยังไม่จบ อย่าเพิ่งลุกจากเก้าอี้