เมืองไทย 360 องศา
บางอย่างหากประเมินสถานการณ์กันแบบซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินไป หรือมองแบบอุดมคติมากเกินไป รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่ทะลุโลก “ทะลุฟ้า” ไม่มีอารมณ์ร่วม รังแต่จะบั่นทอน สร้างความรำคาญให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเวลานี้ที่สังคมกำลังมองการเคลื่อนไหวของพวก “ม็อบสามนิ้ว” และคนที่ชักใยด้วยความสมเพช
ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินจากสถานการณ์ในปัจจุบันก็จะเห็นในมุมที่ว่า คนในสังคมกำลังมี “วุฒิภาวะ” มากขึ้นกว่าเดิม จากประสบการณ์การเรียนรู้ในเชิงประจักษ์อยู่ตรงหน้า ขณะที่อีกด้านหนึ่งได้เห็นการเปรียบเทียบความคิด สติปัญญา ประสบการณ์จากบรรดานักเคลื่อนไหว คนสนับสนุนชักจูงให้เกิดการเคลื่อนไหว
จนผิดทิศผิดทางเข้ารกเข้าพง จน “เข้าคุก” กันในที่สุด
หากโฟกัสกันไปทีละเรื่องก็น่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และน่าจะนำมาอธิบายปรากฏการณ์และบรรยากาศของ “ม็อบสามนิ้ว” ในเวลานี้ได้ไม่น้อย เพราะสิ่งที่เห็นจากสภาพสังคมในปัจจุบันมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนไปจากยุคอดีต ซึ่งไม่ต้องย้อนไปไกลถึงขนาดในยุค “เหตุการณ์เดือนตุลาฯ” ที่อาจจะใกล้เคียง “ปฏิวัติประชาชน” มากที่สุด เพราะแค่ย้อนกลับไปในยุคปี 52-53 กับปัจจุบันก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
กลายเป็นว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป เป็นยุคของ “คนรุ่นใหม่” ที่มาพร้อมเครือข่ายในยุค “ดิจิทัล” การหาคำตอบสามารถทำได้แบบ “พลิกฝ่ามือ” แต่ก็มาพร้อมกับความ “ปลอมๆ” และความไร้แก่นสารปนเข้ามาจำนวนมากเช่นกัน
หากสังเกตให้ดีจะเห็นในการชุมนุมในช่วงแรกของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่อยู่ในช่วงไต่ระดับไปสู่จุด “พีค” เมื่อปีก่อน ที่เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองล้วนๆ มุ่งโจมตีความล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึง “เผด็จการ คสช.” สามารถสร้างแนวร่วมในการชุมนุมแต่ละครั้งได้นับหมื่นคน และในการเคลื่อนไหวก็ประกอบด้วยคนหลากหลาย
แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุด ก็คือ “การตื่นตัว” ของบรรดาเด็กๆ เยาวชน-คนรุ่นใหม่ ที่หันมาสนใจเรื่องการเมือง แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องแฟชั่น เดินห้าง ดังที่ถูกค่อนแคะอยู่เสมอก่อนหน้านี้
ในตอนนั้นได้เห็นการออกมาของบรรดานักศึกษาตามรั้วมหาวิทยาลัยทำให้หลายคนมีความหวัง อย่างน้อยก็น่าจะมีความหวังในเรื่อง “การปฏิรูป” น่าจะทำได้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ซึ่งหากมุ่งมั่นเดินในแนวทางแบบนี้ มีเป้าหมายเรื่องการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชันทุกรูปแบบ เชื่อว่าจะไปไกลมากกว่านี้แน่นอน
แต่ฉับพลันที่เลี้ยวเข้าสู่การ “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ทุกอย่างก็จบเห่ทันที เพราะแม้ว่าจะมีบางกลุ่มจะมองว่านี่คือ “เทรนด์” ใหม่ของคนรุ่นใหม่ก็ตาม และแม้จะมองว่าเป็นยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็ตาม
แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในสังคมก็ยังมี “คนรุ่นกลาง” รวมไปถึง “คนรุ่นเก่า” ที่ยังอยู่อีกจำนวนมาก จะเป็นเพราะโลกสมัยใหม่เช่นเดียวกัน ที่ทำให้พวกเขามีอายุยืนขึ้น
และที่สำคัญ คนในสองกลุ่มหลังนี้ เป็นผู้มีประสบการณ์ ยังเป็นคนทำงานหาเลี้ยงสังคมอยู่ในสัดส่วนที่มาก มีทั้งความรู้ มากกว่าสังคมในยุคก่อน ที่คนมีการศึกษาจะมีเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เหมือนกับเหตุการณ์ในยุค 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาที่คนหนุ่มสาวเป็นหัวหอกในการออกมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการและการกดขี่เอาเปรียบ (จริงๆ)
และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ก็คือหากจะพูดว่า “ภาษีกู” นั้น ก็ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า คนรุ่นเก่านั้นเสียภาษีมากกว่า เพราะเป็นคนทำงาน เป็นเจ้าของกิจการ ขณะที่พวกเยาวชน นักศึกษาพวกในความเป็นจริงก็คือยังไม่ถึงวัยทำงาน ยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ยังไม่มีประสบการณ์จริง
เพราะหากให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน ก็คือ คนรุ่นเก่าที่อาจอยู่ในวัยตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ย่อมต้องมีความรู้ มีประสบการณ์ โดยที่ไม่อยากจะบอกว่า มากกว่าหรือน้อยกว่า แต่รับรองว่ามีไม่น้อยกว่าพวก “แกนนำม็อบสามนิ้ว” แน่นอน ดังนั้น การที่บอกว่า “จะให้จบที่รุ่นเรา” นั้นมันก็ไม่มีทางจบแบบนั้นได้ เพราะสิ่งที่พวกแกนนำม็อบสามนิ้วอยากให้จบนั้น มีคนจำนวนมากไม่เอาด้วย
อีกทั้งสังคมส่วนใหญ่ยังมองออกอีกด้วย บรรดาพวกเด็กๆ ที่ไร้ประสบการณ์พวกนี้ ถูกชักใยยุยงโดย “คนบางกลุ่ม” บางคนที่ยึดติดภาพจำในอดีตฝังใจกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ตัวเองไม่กล้าออกมาเคลื่อนไหวโดยตรง จึงดันหลังพวกเด็กเยาวชนออกมา โดยคิดว่า หากให้เคลื่อนไหวในสิ่งที่ตัวเองฝันเอาไว้ และที่สำคัญ ทางเจ้าหน้าที่รัฐคงไม่กล้าทำอะไร เพราะจะติดที่ภาพของเยาวชน แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างเป็นตรงกันข้าม เมื่อมีการเคลื่อนไหวผิดทาง ไม่สร้างอารมณ์ร่วม ทุกอย่างก็ย่อมฝ่อลงทุกวัน
ดังที่เห็นในเวลานี้ ที่เมื่อ “แกนนำมีชื่อ” เดินหน้าจนทะลุเพดาน มันก็ย้อนกลับมารัดคอตัวเอง เริ่มทยอยเข้าคุกกันเป็นแถว โดยแทบจะไม่มีความเห็นใจจากสังคมมากนัก
แม้ว่าที่ผ่านมา กลุ่มคนที่พยายามยุยงเด็กเยาวชนพวกนี้ให้ออกมา เช่น พวกที่ถูกเรียกว่านักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน นักการเมืองมีการล่าชื่อกดดันให้ปล่อยตัว ก็ไม่เป็นผล ถึงขั้นมีการออกแถลงการณ์ในนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันก่อน มันก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ทำให้สถาบันแห่งนั้นติดภาพลบลงไปอีก และยังเป็นภาพตอกย้ำให้เห็นว่า ความคิดเห็นของคนที่เคยถูกเรียกว่านักวิชาการในยุคปัจจุบันไร้ความหมาย ไร้พลังแทบจะสิ้นเชิงไปแล้ว หากเทียบกับในยุคก่อน ที่หากลองมีนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยลงชื่อกันนับร้อยคนเมื่อไหร่ เป็นต้องสร้างพลังกดดันได้มหาศาล
ดังนั้น หากสรุปในภาพแบบรวมๆ สำหรับสถานการณ์ “ม็อบสามนิ้ว” ในปัจจุบันและต่อเนื่องไปในอนาคตอันใกล้ หากยังเคลื่อนไหวในแบบผิดทิศผิดทางแบบนี้ มันก็ย่อมมองเห็นชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่
แม้หลายคนจะแย้งว่ายุคสมัยกำลังเปลี่ยนไปเป็นของคนรุ่นใหม่ แต่ในความเป็นจริงก็คือ คนรุ่นเก่ายังไม่ตายง่ายๆ ยังมีบทบาทนำในสังคม ขณะเดียวกัน หากพิจารณาธรรมชาติของวัยรุ่น ถือว่าเป็นวัยแสวงหา ฝันเร่าร้อนในอุดมคติ แต่เมื่อเติบโตขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง เหมือนกับหลายคนในอดีตคิด “ล้มเจ้า” แต่ในปัจจุบันกลับ “รักเจ้า” นั่นแหละ
และม็อบสามนิ้วทำได้แค่ป่วนเท่านั้น ไม่อาจนำการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะคนไม่ศรัทธา ไม่มีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นมากพอ !!