xs
xsm
sm
md
lg

ปรับ ครม.ไฟต์บังคับ ปชป.สะเทือนหนักสุด !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - อนุทิน ชาญวีรกูล - เฉลิมชัย ศรีอ่อน
เมืองไทย 360 องศา



นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มาเร็วกว่ากำหนด สาเหตุเป็นเพราะคำพิพากษาของศาลที่สั่งจำคุกอดีตแกนนำ กปปส.ซึ่งในจำนวนนั้น มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลรวมอยู่ด้วย 3 คน นั่นคือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทันที เนื่องจากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีการคาดหมายกันอยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีแน่นอน เพียงแต่ว่าคงไม่ใช่ช่วงเวลานี้ คงจะรอไปอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็อาจต้องรอให้ผ่านช่วงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสอง วาระสามในเดือนมีนาคมนี้ไปก่อน เนื่องจากเกรงจะเกิดการ “กระเพื่อม” ภายในพรรคร่วมรัฐบาล และกระเทือนมาถึงรัฐบาลไปด้วย

แต่เมื่อสถานการณ์พลิกมากะทันหันแบบนี้ กลายเป็น “ไฟต์บังคับ” ที่แม้ว่าไม่อยากให้ปรับทันทีก็ตาม มันก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว และเชื่อว่าต้อง “ปรับให้เร็วที่สุด” เพื่อลดปัญหาการกระเพื่อมจากภายในจนบานปลาย

อย่างไรก็ดี แม้ยังไม่ทันเป่านกหวีด แต่ก็เริ่มได้เห็นการเคลื่อนไหว จากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลและกลุ่มก๊วนการเมืองที่ซ้อนทับกันอยู่ในแต่ละพรรค แม้ว่างานนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองทุกพรรค แต่หากให้เรียงลำดับพรรคที่น่าจะมี “อาการหวั่นไหว” มากที่สุดในเวลานี้ น่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ในทางการเมืองเท่าที่เห็นอาการเข้าลักษณะที่แบบที่เรียกว่า “เก็บไม่อยู่”

เริ่มจากการเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ได้เห็น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรค เข้าพบหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์แสดงออกในทางเปิดเผยแบบใดก็ตาม แต่สำหรับคนทั่วไปย่อมมองออกไม่ยากว่า นี่คือการมา “ย้ำคำสัญญาแพ็กคู่” เหมือนกับเมื่อครั้งตอนจับมือแพ็กกันแน่นตอนฟอร์มรัฐบาลกันใหม่ๆ เพื่อคงสภาพ “การต่อรอง” ให้เกิดพลังเช่นเดิม

ขณะเดียวกัน หากมองกันอีกด้านหนึ่งมันก็เห็นอาการชัดทันที ว่า พรรคประชาธิปัตย์เกิดอาการหวั่นไหวจนเก็บไม่อยู่ดังกล่าว เพราะอย่างที่รู้กันก็คือ มี “เสียงลดลง” หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ จะเห็นว่า การโหวตในสภาของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลถือว่า “ไม่เสถียร” มีออกลูกงอแง อ้างหลักการเผด็จการประชาธิปไตยแบบ“หล่อๆ เท่ๆ”หลายครั้ง แม้กระทั่งล่าสุดถึงขนาดไม่โหวตให้หัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ถูกฝ่ายค้านซักฟอกในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งผลพวงดังกล่าวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความขัดแย้ง” ภายใน หลังจากมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคจนแตกออกเป็นหลายกลุ่มก๊วน ที่กลายเป็น “คลื่นใต้น้ำ” อยู่ตลอดเวลา


อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลของคำพิพากษาจากคดีของบรรดาแกนนำ กปปส. ยังทำให้มี ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นส.ส.เขต จำนวน 2 คน ที่ต้องพ้นสภาพจาก ส.ส.ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมกันใหม่ คือ นายจุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร และนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา และรายหลังยังพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมอีกด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ มีกรณีนายเทพไท เสนพงศ์ ที่พ้นสภาพ ส.ส.นครศรีฯ จากรณีการร่วมทุจริตเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่กำลังเลือกตั้งซ่อมกันอยู่ในเวลานี้

หากมองย้อนกลับไปก็สอดคล้องกับที่เคยมีข่าวทำนองว่า ด้วยท่าทีดังกล่าวภายในพรรคประชาธิปัตย์สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำรัฐบาล จนมีรายงานอาจจะมีการยึดโควตารัฐมนตรีคืนมาบางตำแหน่ง

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย นาทีนี้ถือว่า “ลอยตัว” เพราะเวลานี้มี ส.ส.เข้ามาเพิ่มจากกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ และล่าสุดก็มี “4 งูเห่า” จากพรรคก้าวไกลที่เตรียมย้ายมาสมทบในอนาคตแน่ๆ เพราะเปิดตัวไปแล้ว ทำให้เวลานี้พรรคภูมิใจไทยมีเสียงเป็นพรรคอันดับสองในรัฐบาลเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว

แม้ว่าล่าสุดจะมีการยืนยันตั้งแต่ต้นมือจากปากของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และถือว่าเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” ตัวจริง จะยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตาม “โควตาเดิม” เมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาล นั่นคือ “ไม่เพิ่มไม่ลด” รวมไปถึงการให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกฯ ตัดสินใจคนเดียว ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐ ก็จะไม่มีการเสนอชื่อใครเป็นรัฐมนตรี โดยให้นายกฯตัดสินใจเลือกเอง

เป็นการ “เบรกเกม” ตั้งแต่ต้นลม เพื่อหวังสกัดรายการป่วนจากบรรดา “กลุ่มก๊วน” นักวิ่งในพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เพิ่งเริ่มต้นในเวลานี้ ถือว่าถ้าดูตามอาการแล้ว น่าจะมีรายการป่วนเกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องแย่งโควตารัฐมนตรี รองลงมาก็คงต้องเป็นพรรคพลังประชารัฐ ที่มีสารพัดมุ้งที่ “เขี้ยวลากดิน” ขณะที่พรรคภูมิใจไทย นาทีนี้ถือว่าไม่น่าจะอยู่นิ่งคงกดดันขอโควตารัฐมนตรีเพิ่ม หลังจากมีเสียง ส.ส.เข้ามาเพิ่ม

ส่วนจะสมหวังหรือไม่ค่อยมาว่ากัน แต่ขอ “บอกผ่านให้ต่อราคา” กันก่อน แต่เอาเป็นว่าดูตามรูปการณ์แล้วงานนี้สนุกแน่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น