ข่าวปนคน คนปนข่าว
** 3 รัฐมนตรีตกเก้าอี้ กลายเป็นไฟต์บังคับที่รัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตปรับ ครม. ขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสให้ลุงๆ ได้กระชับอำนาจอีกรอบ... จับตาก๊วนไหนมาแรง
นับเป็นข่าวใหญ่ประจำวัน เมื่อศาลฯอ่านคำพิพากษาคดี “กบฏ กปปส.” โดนจำคุกกันระนาว ... “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประธาน กปปส. จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี ยังมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้อีก 3 คน “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดีอีเอส 7 ปี “ถาวร เสนเนียม” รมช.คมนาคม 5 ปี “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ 6 ปี 16 เดือน รวมทั้ง ส.ส.และบรรดาแกนนำอีกหลายคน
กรณีของรัฐมนตรีนั้น รธน. มาตรา 160(7) บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยไม่คำนึงว่า คดีจะถึงที่สุดหรือไม่ หรือคำพิพากษาที่ให้ลงโทษจำคุกนั้น จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ความผิดที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษนั้นจะเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดฐานหมิ่นประมาท
ดังนั้น “3 รัฐมนตรี” ที่กล่าวถึงข้างต้น ต้องหลุดจากตำแหน่งทันที...กลายเป็นไฟต์บังคับให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องปรับ ครม.โดยพลัน จะประวิงเวลาไปไม่ได้แล้ว
3 เก้าอี้ที่ว่างลงนั้น “รมว.ดีอีเอส-รมว.ศึกษาธิการ” เป็นโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ส่วน “รมช.คมนาคม” เป็นของประชาธิปัตย์
เป็นที่รับรู้กันว่า ช่วงก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีการเดินเกมของ “3 รมช.” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน-สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ผนึกกำลังกันเขย่าเก้าอี้คนในรัฐบาลด้วยกันเองที่ถูกอภิปราย เป้าหมายคือ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ ...ทั้ง 3 รมช. หวังขึ้นชั้นเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” เมื่อมาเกิดเหตุเก้าอี้ว่างลงเช่นนี้ บรรยากาศย่อมคึกคัก แต่งตัวรอกันแล้ว
“ผู้กองธรรมนัส” น่าจะเล็งไปที่ รมว.ดีอีเอส ซึ่งถือว่าเป็นโควตาเดิม ตั้งแต่การฟอร์ม ครม.รอบแรก แต่ติดที่ยังไม่ค่อยเคลียร์ในเรื่อง “ภาพลักษณ์” จึงมีข่าวว่าจะให้ “อัครา พรหมเผ่า” น้องชาย มานั่งแทน แต่สุดท้ายเก้าอี้นี้ตกเป็นของ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” กลุ่ม กทม.ของพรรค ที่ลุงตู่มองว่า ภาพลักษณ์ดูดีกว่า ...ถึงวันนี้ “ผู้กองธรรมนัส” บารมีเบ่งบาน จึงไม่เป็นเรื่องเกินเลยไปถ้าจะเล็งไปที่เก้าอี้ รมว.ดีอีเอส
ส่วน “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หลังจากได้นั่ง รมช.แรงงาน แบบขัดตามทัพ ย่อมหวังขึ้นชั้นไปนั่ง รมว.ศึกษาธิการ ตามที่ฝันเอาไว้ ซึ่งว่ากันว่าถึงกับเคยเอ่ยปากขอ “ลุงป้อม” ไว้แล้ว
ถ้า “ผู้กองธรรมนัส-อาจารย์แหม่ม” สมหวัง แล้ว “สันติ พร้อมพัฒน์” ซึ่งเป็นนักการเมืองเก๋าเกม เคยคุมกระทรวงระดับ “เกรดเอ” มาก่อนจะยอมนั่งรากงอกอยู่ที่ตำแหน่ง “รมช.” ก็คงจะไม่ใช่
แล้วถ้าใน 3 คนนี้ มีการขยับขึ้นชั้นไปจริง เก้าอี้ “รมช.” ก็จะว่างลง อาจเป็น รมช.เกษตรฯ รมช.แรงงาน รมช.คลัง หรือทั้ง 3 เก้าอี้ ...กลุ่มก๊วนต่างๆ ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลย่อมมีการเคลื่อนไหวกันคึกคักเช่นกัน อย่างเช่น “กลุ่มส.ส.ภาคใต้” ของพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยร่ำร้องขอเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อไปขยายฐานเสียง ซึ่งกลุ่มนี้อยู่ในความดูแลของ “ผู้กองธรรมนัส”... ยังมี “กลุ่มพรรคเล็ก” ที่ “ชัช เตาปูน” ชัชวาลล์ คงอุดม หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทย ก็ส่งสัญญาณมาแล้ว...
และจะมองข้ามพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ไปไม่ได้ เพราะขณะนี้จำนวน ส.ส.ของพรรคเพิ่มขึ้นมามากจนช่วยขจัดปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไปได้ ย่อมต้องโดดเข้ามาแจมแน่ ถ้ามีเก้าอี้มาแลก ก็อาจจะทำให้ลืมๆ เรื่องโหวตสวนในสภาฯ ไปได้
ส่วนเก้าอี้ “รมช.คมนาคม” ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่างลงก็คงวุ่นไม่แพ้กัน ...ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี อาจมีลุ้น ...แต่หลังจากที่ตัวเขา และ ส.ส.ในกลุ่มอีก 2 คน โหวตสวนมติพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา โดย “งดออกเสียง” ให้กับ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคของตัวเอง ก็เป็นอันว่ากลุ่มนี้หมดลุ้นไปแล้ว... ถึงอย่างไรในพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนกันอยู่ เชื่อว่าการชิงเก้าอี้ตัวนี้ก็คงดุเดือดไม่แพ้ในภาพใหญ่
การเจอไฟต์บังคับที่ต้องปรับ ครม.ครั้งนี้ ด้านหนึ่งอาจจะมองว่าเป็น “วิกฤต” ของรัฐบาลที่จะต้องเจอแรงกระเพื่อม แรงกดดันทั้งจากในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็เป็น “โอกาส” ที่ลุงๆ จะได้กระชับอำนาจให้มั่นคง แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกครั้ง !!
**งานนี้ย้อนแย้งจริงๆ “ผบ.ตร.” จัด 5ข้อหาหนักผิด “พ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิด” ฟันลูกน้องได้ แต่ “หลงจู๊สมชาย” กลับเป็นคดีเก่า คนละเรื่องเดียวกัน ว่าด้วยความคืบหน้าการจัดการปัญหา “บ่อน” และ “ส่วย” พนัน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกหลังจากบ่อน “หลงจู๊สมชาย” สมชาย จุติกิต์เดชา โป๊ะแตก ถูกสอบสวนโรคจับไทม์ไลน์ว่ามีผู้ติดเชื้อเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” ต้นตอของการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่
วันนี้มีเรื่องให้ต้องพูดถึงคำสังของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. ที่มีคำสั่งย้ายนายตำรวจใหญ่ในพื้นที่ภาค 2 ไล่ไปตั้งแต่ “พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ” ผบช.ภ.2, “พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์” ผบก.ภ.จว.ระยอง, “พล.ต.ต.ประการ ประจง” ผบก.ภ.จว.ชลบุรี, “พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล” ผบก.ภ.จว.จันทบุรี และ “พล.ต.ต.เสถียร บุญค้ำ” ผบก.ภ.จว.ตราด ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.โดยไม่มีกำหนด
ตามมาด้วยส่วนที่สอง การแจ้ง 5 ข้อหาหนักสำหรับนายตำรวจ 7 นาย ที่คุมพื้นที่ระยองและชลบุรี ที่ถูกคณะกรรมการสอบพบ ว่า เกี่ยวข้องกับการปล่อยบ่อนหลงจู๊ เปิดเย้ยฟ้าท้าดิน
ข้อหาหนักแค่ไหนก็ต้องบอกว่า “อ่วมอรทัย” สำหรับคนรับราชการตำรวจ เช่น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ปล่อยปละละเลยไม่สนใจในการสืบสวนปราบปรามจับกุมบ่อนการพนัน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ผบ.ตร. “พล.ต.อ.สุวัฒน์”
ร่วมกันกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์ปล่อยให้ผู้อื่นเปิดบ่อนการพนันภายในพื้นที่รับผิดชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จนทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสื่อมเสีย
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ พูดง่ายๆ ว่า “รับส่วย” เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็น “ตาฟาง” มองไม่เห็นบ่อน จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิดเป็นวงกว้าง โดยที่ไม่บังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ว่ากันว่า นายตำรวจทั้ง 7 ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาโดยทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาที่รับทราบข้อกล่าวหา แต่ทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา โดยไม่ขอให้การกับคณะกรรมการ แต่จะขอทำคำชี้แจงเป็นหนังสือส่งให้ภายใน 15 วัน
สำหรับข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้น ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ซี่งหากผลสรุปสุดท้ายว่ามีความผิดจริงจะมีโทษเพียง 2 สถาน คือ ปลดออก และ ไล่ออก
ว่ากันว่า ผลสอบของคณะกรรมการ ระบุชัด บ่อนการพนันดังกล่าวเป็นของ “หลงจู๊สมชาย” มีหลักฐานยืนยันว่า มีการเปิดบ่อนการพนันที่บริเวณ บขส.เก่า ต.ท่าประดู่ อ.เมืองฯ จ.ระยอง ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. 63 จนถึงเดือน ธ.ค. 63 และ ที่ตลาดนำชัย ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 63 จนถึง ธ.ค. 63 จริง
มีทั้งพยานบุคคลที่เคยเข้าไปเล่นในบ่อนการพนันทั้งสองแห่งดังกล่าว พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐาน พยานเอกสารจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง และชลบุรี รวมทั้งพยานแวดล้อมอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ในพื้นที่, ประธานหอการค้าจังหวัด สื่อมวลชนในพื้นที่
แน่นอนว่า การจัดการตำรวจด้วยอำนาจที่มีของ ผบ.ตร. เป็นที่เข้าใจได้ ชาวบ้านย่อมต้องเห็นด้วย ยกมือสาธุ เพราะที่ผ่านมา ระทมทุกข์อยู่กับพฤติกรรมของตำรวจที่เห็นแก่ “ส่วย” ช่วยหลงจู๊ ไม่เห็นแก่สังคมและประเทศชาติที่ต้องรับเคราะห์จากการแพร่ระบาดโควิด
แต่เมื่อเทียบคำสั่ง และแอ็กชั่นของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์” ครั้งนี้กับปาหี่ จับ “หลงจู๊สมชาย” ไปเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. ก็ต้องบอกว่า แตกต่างกันราว “ฟ้ากับเหว” ทั้งๆ ที่เป็นความผิดในกระบวนการ “กรรม” เดียวกัน
“หลงจู๊” ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวสู้คดี ถูกจับตามหมายจับคดีเก่า ข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เรียกว่าข้อกล่าวหา “เบาหวิว” ราวปุยนุ่น ไม่มีการตั้งข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิด ไม่มีข้อหาเป็นผู้ให้ส่วยตำรวจ ไม่มีข้อหาใดๆ ที่ดูจะเป็นความหนักอกหนักใจให้ “หลงจู๊” แม้แต่น้อย
ตั้งแต่แรกเกิดเรื่องก็พยายามช่วยเหลือเจ้าพ่อบ่อน ชาวบ้านชี้เบาะแสให้ ตำรวจก็ตีมึน ปฏิเสธเสียงแข็ง “บ่อนไม่มี” มีแต่ลักลอบเล่นพนัน สะท้อนให้เห็นว่า “หลงจู๊สมชาย” เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายของจริง โดยที่มี “กุนซือ” เป็นนายตำรวจใหญ่ ที่ยังหลบอยู่หลังฉากคอยให้คำแนะนำและหาทางหนีทีไล่ให้
คำถามคือ ทำไม ผบ.ตร.ไม่ตั้งข้อหา ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดการหลงจู๊และเครือข่าย?? เหมือนๆ กับนายตำรวจทั้ง 7 นาย
สรุปว่า ผบ.ตร.ใช้ข้อหาปล่อยให้มีการเล่นพนัน ฝ่าฝืน พ.ร.ก.กับลูกน้อง แต่กับหลงจู๊ กลับใช้คดีเก่าที่ คนละเรื่องเดียวกัน
งานนี้มันช่างย้อนแย้งกันจริงๆ