นายกฯ แจงโครงการพัฒนาภาคใต้ ลั่นทุกโครงการตรวจสอบได้ ไม่เอื้อประโยชน์ใคร รัฐบาลมีหน้าที่ทำรายได้เพิ่ม โครงการไหนมีปัญหาทุจริตตรงไหนก็แก้ไป แต่อย่าทำให้โครงการขนาดใหญ่ที่ริเริ่มไว้และยุทธศาสตร์ที่กำหนดไปแล้วพังพินาศไปด้วย ก่อนเดินออกนอกห้องประชุม หลังเห็น ส.ส.นั่งหัวเราะ ไม่ฟังชี้แจง
วันนี้ (18 ก.พ.) ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงภายหลังนายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้กำกับดูแลกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาภาคใต้ ถ้าพูดไปพูดมาสงสัยกลายเป็นโครงการใหญ่ๆ ล้มหมด คงไม่ใช่ ต้องแยกแยะออกจากกันว่าสิ่งไหนที่ทำได้ สิ่งไหนที่ทำไม่ถูก เราจะต้องพัฒนาประเทศของเรา ประเทศมีรายได้อยู่ร้อยล้าน รัฐบาลมีความคิดอย่างเดียวจะทำอย่างไรที่จะเพิ่มเป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน แสนล้านในอนาคตในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ส่วนเรื่องที่จะไปซื้อที่ดินกันมาเป็นเรื่องทำได้ตามกฎหมาย แต่จะผิดหรือถูกไปตรวจสอบกันตรงนู้น ไม่ใช่พันกันว่าโครงการนี้ไปเอื้อประโยชน์ให้คนนี้ ตนว่าไม่ใช่ ตนไม่ใช่คนที่ไปเอื้อประโยชน์ให้ใคร แต่ใครจะได้ประโยชน์ถูกต้อง ไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไปว่ามา
นายกฯ กล่าวว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาทับซ้อนในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะพื้นที่ เราต้องแก้ปัญหาอย่างละเอียดอ่อน จึงมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษพื้นที่ภาคใต้ ในส่วนของเดิมมี 3 จังหวัด และได้เพิ่มพื้นที่ อ.จะนะไปด้วย แต่ยังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ซึ่งรัฐบาลได้จัดคณะกรรมการไปดูแล และนำสู่ไปสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ที่บอก 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษไม่มีความก้าวหน้านั้น ทุกอย่างอยู่ในขั้นเตรียมการ ต้องรอระยะเวลาเจริญเติบโต ดูจุดเชื่อมต่อ ดูความต้องการของประชาชนในพื้นที่ สิ่งที่เราต้องการคือทำอย่างไรให้ศักยภาพเกิดขึ้นในประเทศไทย ทำอย่างไรให้ทรัพยากรมีคุณค่า เรามีเขตเศรษกิจพิเศษภาคใต้ หรือเอสอีซี 10 พื้นที่รอบประเทศ แต่การที่จะให้คนมาลงทุนจะต้องมีความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานถนน รถไฟฟ้า รวมถึงพื้นที่ของสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ถ้ามีความพร้อมเขาก็มาซึ่งก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นายกฯ กล่าวว่า หลายคนเข้าใจว่าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี มีพื้นที่เป็นแสนไร่ แต่ที่จริงมันใช้ไม่มาก ใช้เฉพาะพื้นที่ที่เขามาขอเช่าที่จะตั้งโรงงงาน การเปลี่ยนอะไรต่างๆ ก็เป็นเรื่องของประชาพิจารณ์ ตนพูดในนามรัฐ นามนายกรัฐมนตรี ทุกโครงการตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพ ตนสั่งอย่างนี้ทุกครั้งไม่เคยละเว้น แต่การตรวจสอบมีกลไกอยู่แล้ว สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษ แจ้งองค์กรองค์กรอิสระตรวจสอบได้ทั้งหมดซึ่งจะเป็นการตรวจสอบเป็นการภายใน นี่คือกติกาการทำงานในอดีตถึงปัจจุบัน
“การที่จะบอกผิด-ถูก ในนี้ไม่ใช่ศาล ศาลอยู่ข้างนอก ท่านพูดได้ ไม่ว่าใครผิดใครถูกท่านพูดได้หมด แต่ทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็อยู่กันแบบนี้ ประชาชนจะอยู่ไหวหรือไม่ ในเมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ต้องหาวิธีทำให้ได้ แต่จะทำอย่างไรให่โปร่งใสก็เป็นอีกเรื่อง และผมไม่อยากเกิดผลกระทบเรื่องของการลงทุนในประเทศอื่น เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ แล้วไปกันใหญ่ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เราต้องเร่งพัฒนาประเทศให้พ้นกับดับรายได้ปานกลาง ถ้าทุกอย่างอยู่ที่เดิมก็ไปไม่ได้ มีแต่ถอยหลัง เก็บของเก่ากินไปเรื่อย การทำของใหม่มีปัญหาหรือทุจริตตรงไหนก็แก้ไป แต่อย่าทำให้โครงการขนาดใหญ่ที่ริเริ่มกำหนดยุทธศาสตร์ไปแล้วพังพินาศไปด้วย” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกฯ กำลังชี้แจงอยู่นั้น ได้หันไปเห็น ส.ส.จำนวนหนึ่งกำลังหัวเราะกันอยู่และไม่ฟังที่นายกฯ ชี้แจง ทำให้นายกฯ หยุดชี้แจงไปพักหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ผมคงตอบแค่นี้ดีกว่า เพราะตอบไปก็ไม่มีใครฟัง หัวเราะกันอยู่ พอแล้วครับ” และเดินออกจากห้องประชุมไปทันที