ส.ส.ก้าวไกล ฉะ “นิพนธ์” เหยียบหัวใจชาวจะนะ สมคบหาประโยชน์เขตพัฒนาพิเศษ เสกที่สีเขียวเป็นสีม่วงทำลายทะเล ใช้อำนาจมิชอบ ใช้ข้อมูลวงในกรมที่ดินให้เครือข่ายกว้านซื้อที่ถูกขายกินส่วนต่าง อัด “ฝัดด้งเปล่า” แหกตาสร้างงาน แท้จริงเมืองร้าง
วันนี้ (18 ก.พ.) นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในประเด็นมีผลประโยชน์เบื้องหลังโครงการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจะนะ เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ในหัวข้อ “ผลประโยชน์เบื้องหลังจะนะ : นายทุนคิด ทหารดัน นักการเมืองหาประโยชน์’ ว่าโครงการดังกล่าวไม่ใช่โครงการพัฒนา แต่เต็มไปด้วยการทำลายทรัพยากร ทำลายอาชีพ ทำลายเศรษฐกิจของชาวจะนะ เพราะหากเกิดขึ้นสัตว์น้ำเศรษฐกิจนับร้อยชนิดจะหายไป การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าปีละ 100-500 ล้านบาท
นายประเสริฐพงษ์กล่าวว่า หลายคนเชื่อว่าโครงการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจะนะฯ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในปี 2563 แต่มีเค้าลางมาตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน โดยนายนิพนธ์ในฐานะนายก อบจ.สงขลาขณะนั้น ได้แถลงต่อสภา อบจ.ไว้วันที่ 5 ก.ย. 2556 ว่าจะพัฒนาพื้นที่พลังงาน ท่าเรือน้ำลึก และอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอจะนะ นาหม่อม เทพา ซึ่งคนในพื้นที่รู้กันดีว่ามีการเอางบฯ อบจ.ไปลงในพื้นที่อำเภอแถบนั้นมากผิดปกติ กระทั่งต่อมาวันที่ 16 ก.พ. 2561 นายนิพนธ์ได้เข้าพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจขณะนั้น เพื่อหารือแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ของเอกชน โดยยกระดับให้เป็นอุตสาหกรรมพลังงานครบวงจร (Energy complex) จนนำมาสู่มติ ครม.วันที่ 7 พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นมติ ครม.ทิ้งทวนของ คสช. หลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ในช่วงที่อยู่ในสุญญากาศระหว่างการตั้งรัฐบาลใหม่ โดยได้เห็นชอบขยายผลโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไปสู่พื้นที่ อ.จะนะ ดังนั้น การที่นายนิพนธ์ให้ข่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นตัวนายนิพนธ์เองที่เป็นคนวิ่งเต้นเอาโครงการจะนะไปสอดไส้โครงการเดิม เพราะโครงการเดิมตามมติ ครม.2559 มีแค่ 3 พื้นที่ คือ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี, อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และอ.เบตง จ.ยะลา แต่ไม่ได้มี อ.จะนะ รวมอยู่ด้วย
นายประเสริฐพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลนำโดย ศอ.บต.ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน ขายฝันกับชาวบ้านว่าจะมีการลงทุนบนพื้นที่ประมาณ 16,753 ไร่ เม็ดเงินลงทุน 18,680 ล้านบาท จะเกิดอุตสาหกรรมหนัก, อุตสาหกรรมเบา, เมืองที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ, ศูนย์รวมและกระจายสินค้า, โรงไฟฟ้า 3,700 เมกะวัตต์, และอื่นๆ อีกมากมาย มีการโฆษณาว่าจะมีการจ้างงานในพื้นที่ 100,000 ตำแหน่ง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันแล้วเป็นไปไม่ได้ โครงการข้างเคียง ทั้งนิคมอุตสาหกรรม Rubber City, นิคมอุตสาหกรรมสงขลา ล้วนแล้วแต่ร้าง โดยนิคมอุตสาหกรรมสงขลา กนอ.ได้อนุมัติงบไปแล้วอย่างน้อย 1,280 ล้านบาท ไม่รวมเงินที่เช่าที่ธนารักษ์อีก 2,000 กว่าล้านบาท แต่มีคำขอส่งเสริมการลงทุนจริง 8 โครงการ คิดเป็นเงิน 1 ใน 10 ของที่ตั้งเป้าไว้เท่านั้น และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนร้าง ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่สงขลาเป็นที่แรก แต่เกิดขึ้นแบบเดียวกันทั่วประเทศ 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่เกิดขึ้นตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่สมัยปล้นอำนาจเป็นรัฐบาล คสช. ได้ใช้เงินภาษีประชาชนไปแล้วกว่า 47,000 ล้านบาท แต่การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนของเอกชนแค่ 48 โครงการ 8,000 ล้านบาท ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน
“ดังนั้น ที่รัฐบาลและนายทุนขายฝันกันสวยหรู โครงการต่างๆ เขียนโฆษณาเอาไว้ราวกับลอกกันมา สิ่งที่ท่านจะสร้าง คือโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมี ซึ่งจ้างงานน้อยมาก ความเป็นไปได้ที่โครงการจะทำให้เกิดการจ้างงานนับแสนตำแหน่ง จึงเป็นไปไม่ได้ สำหรับคนที่มีความฝัน วาดวิมานในอากาศสวยหรูว่าจะเกิดการลงทุนเท่านั้นเท่านี้หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงานแสนตำแหน่งนั้น แบบนี้คนใต้เขาเรียก “ฝัดด้งเปล่า” หรือถ้าตามพจนานุกรมแปลเป็นภาษากลางว่า วืด เสียเที่ยว”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวต่อว่า โอกาสที่อุตสาหกรรมจะเกิดมีน้อยมาก แต่เหตุที่รัฐบาลและนายนิพนธ์เร่งรัดผลักดันโครงการเมืองจะนะให้เกิด พบว่า กลุ่มทุนคือ TPIPP ที่มาพร้อมแผนการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยโครงการทั้งหมดที่วางแผนไว้ 3,700 เมกะวัตต์ โดยเอกสารเตรียม EIA ของบริษัท TPIPP เอง เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 63 ที่ผ่านมาบอกชัดเจนเลยว่า TPIPP เป็นคนไปเสนอแผนการผลักดันพัฒนาโครงการในพื้นที่จะนะ ซึ่งวันที่ 21 ม.ค. 64 ครม.มีมติรับทราบไปแล้ว 1,700 เมกะวัตต์ ที่เอื้อให้เกิดโรงไฟฟ้าของบริษัท TPIPP ขึ้นในพื้นที่อำเภอจะนะ เรื่องนี้ก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นฝ่ายทำ ดังนั้น ถ้าโครงการยังเดินหน้าต่อไปแบบนี้ คาดว่าว่าโรงไฟฟ้าก็จะมาอีกเรื่อยๆ โครงการจะนะเมืองก้าวหน้าแห่งอนาคตจะไม่มีอนาคตของประชาชน แต่จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าของกลุ่มทุน ไม่แตกต่างจากที่เกิดขึ้นกับมาบตะพุด จ.ระยอง ที่เต็มไปด้วยมลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องอย่าลืมว่ากลุ่มทุนเครือ TPIPP มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล โดยบริษัทเครือ TPI ยังมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินผ่านโต๊ะจีนประชารัฐ มีสายสัมพันธ์แนบแน่นใกล้ชิดกับทั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค รวมถึงกับนายนิพนธ์จากพรรคประชาธิปัตย์ เราจึงเห็นความพยายามผลักดันโครงการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนอย่างแข็งขัน
“ทำให้สงสัยว่าโครงการจะนะที่นายนิพนธ์ และ ศอ.บต. ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนหรือเพื่อใคร เพราะวันที่ 18 ส.ค. 2563 ครม.มีมติให้กรมโยธาธิการและผังเมืองแก้ไขผังเมือง เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ใน 3 ตำบลในอำเภอจะนะ จากพื้นที่สีเขียวที่เป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และสีเขียวคาดขาวที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งเดิมห้ามไม่ให้เอกชนตั้งโรงงงานที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ไปเปลี่ยนให้เป็นสีม่วงเข้ม หรือพื้นที่อุตสาหกรรมหนัก โดยการเปิดโปงของนักข่าว ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกว้านซื้อที่ดิน โดยมีนักการเมืองระดับชาติที่คนในพื้นที่รู้กันดีเกี่ยวข้อง โดยดำเนินการในนามลูกชายทนายคนหนึ่ง และเครือญาติ ซึ่งนี่ทำให้ตนกล่าวหานายนิพนธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน” นายประเสริฐพงษ์กล่าว
จากข้อมูลการซื้อขายที่ดินจากสารบบที่ดินและหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน สำเนาโฉนดที่ดินในพื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เฉพาะกิจ 3 ตำบลของ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งก็คือที่ดินที่ท่านจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วง ข้อมูลนี้ได้มาจากเอกสารของอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งขอข้อมูลมาจากสำนักงานที่ดิน จ.สงขลา สาขาจะนะ และข้อมูลที่ได้มามีเพียงเดือนเดียว คือ ม.ค. 2563 เดือนที่ ครม.มีมติเปลี่ยนสีผังเมือง ประเด็นสำคัญคือ บรรดาตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องหลายคนล้วนเป็น ‘เครือข่ายเครือญาติใกล้ชิด’ ของนายนิพนธ์ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นนายนิธิกร บุญญามณี ‘ลูกชายคนเล็ก’ ของนายนิพนธ์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทค้าที่ดิน นายสิรภพ เริงฤทธิ์ ‘ทนายความคนสนิท’ ของนายนิพนธ์ เคยเป็นพนักงานจ้าง ตำแหน่งผู้ช่วยนิติกร อบจ.สงขลา ในสมัยที่นายนิพนธ์เป็นนายก อบจ.ซึ่งคนในพื้นที่รู้จักดี เพราะเป็นนายหน้าดำเนินการต่างๆ ในพื้นที่แทนนายนิพนธ์และครอบครัว โดยรู้จักกันในชื่อ ‘ทนายอาร์’, นายวุฒิชัย วัตตธรรม ลูกพี่ลูกน้องของนางกัลยา บุญญามณี ซึ่งเป็นภรรยาของนายนิพนธ์, และนายชัยโรจน์ จิวระประภัทร์ ซึ่งเป็นคู่เขยของนายนิพนธ์
“คนเหล่านี้คือคนที่มีชื่ออยู่ในสารบบที่ดินและหนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินที่ผมได้มา อันนี้เป็นเพียงข้อมูลตัวอย่างส่วนเดียวที่เข้าถึงได้ในเดือน ม.ค. 2563 ที่มีมติ ครม.เห็นชอบโครงการและเปลี่ยนสีผังเมือง และข้อมูลนี้ก็เป็นพื้นที่แค่ 3 ตำบลของ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งไม่รู้ว่าส่วนที่ผมยังเข้าไม่ถึงข้อมูล ยังมีอีกเท่าไหร่ ซึ่งถ้านายนิพนธ์บริสุทธิ์ใจจริง ขอให้เอาข้อมูลการซื้อขายที่ดิน ของกรมที่ดินท่านดูแลอยู่ ของทั้งปี 2562 และ 2563 มาเปิดให้ประชาชนเห็น แล้วให้กรรมาธิการที่ดินและสภาแห่งนี้ตรวจสอบ”
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบเห็นการซื้อขายที่ดินอย่างผิดปกติ คือ ในช่วงเดือน ม.ค. 2563 ที่ ครม.มีมติให้เปลี่ยนสีผังเมือง โดยพบการกว้านซื้อของรายใหญ่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มเครือข่ายครอบครัวคนใกล้ชิดนายนิพนธ์ พบการซื้อขายทั้งหมด 23 ธุรกรรม โดยเป็นการซื้อขายที่ดินของนายนิธิกร 10 ธุรกรรม จำนวน 34 ไร่มูลค่า 9,400,000 บาท, นายสิรภพ 8 ธุรกรรม จำนวน 52 ไร่ มูลค่า 12,600,000บาท, นายชัยโรจน์ 2 ธุรกรรม จำนวน 181 ไร่มูลค่า 45,500,000 บาท, นายวุฒิชัย 1 ธุรกรรม ไม่น้อยกว่า 180 ไร่ มูลค่า 36,300,000 บาท นางศิรานุช ภูริศักดิ์ไพศาล พี่น้องภรรยานายวุฒิชัย 2 ธุรกรรม จำนวน 11 ไร่ มูลค่า 5,900,00 บาท รวม 5 คนที่เป็นเครือญาตินายนิพนธ์ มีการรับซื้อที่ดิน 23 ธุรกรรม พื้นที่ 464 ไร่ มูลค่า 110 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 236,166 บาทต่อไร่ และอีกกลุ่มที่มีปริมาณการซื้อที่ดินมากผิดปกติ คือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP มีการกว้านซื้อที่ดิน 25 ธุรกรรม พื้นที่ 450 ไร่ มูลค่า 271 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 602,608 บาทต่อไร่ ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า ราคาที่ดินที่บริษัทซื้อจากชาวบ้านอยู่ที่เฉลี่ยไร่ละ 600,000 บาท ขณะที่เครือข่ายนายนิพนธ์ซื้อที่ดินแค่ในราคาเฉลี่ยเพียง 240,000 บาทต่อไร่ เท่านั้น ราคาต่างกันเกินเท่าตัว
“แต่อย่าเพิ่งดีใจว่า TPIPP ซื้อที่ชาวบ้านในราคาสูง เพราะมูลค่าซื้อขายที่ดิน 271 ล้านบาทของ TPIPP ในเดือน ม.ค. 2563 มีไม่ถึง 1 ใน 5 เท่านั้นที่ตกถึงมือชาวบ้าน เพราะในจำนวนการซื้อขายที่ดินทั้งหมด เป็นการซื้อที่ดินจากนายชัยโรจน์ และนายวุฒิชัย 224 ล้านบาท หรือ 83 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ตกถึงมือชาวบ้านแค่ 17 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น นอกจากนี้ ถ้าดูในแง่ของวันที่โอนที่ดิน ถ้าเอาวันที่ 21 มกราคม 2563 ที่ ครม.มีมติเห็นชอบโครงการเขตพัฒนาพิเศษจะนะ และให้เปลี่ยนสีผังเมืองเป็นตัวแบ่งจะพบว่า หลังวันที่ 21 ม.ค. 63 มีการซื้อที่ดินเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด แค่ 10 วัน มี 25 ธุรกรรม ในขณะที่ก่อนหน้านั้นมี 19 ธุรกรรม ซึ่งผู้ที่ทำการกว้านซื้อมากก่อนวันที่ 21 ม.ค. 63 คือ กลุ่มของนายนิธิกร และนายสิรภพ เครือข่ายครอบครัวนายนิพนธ์ ส่วนกลุ่มที่ทำการกว้านซื้อที่ดินมากหลังวันที่ 21 ม.ค. 63 คือ บริษัท TPIPP ข้อสังเกตก็คือ เครือข่ายครอบครัวนายนิพนธ์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีมติ ครม.ออกมาในวันไหนซึ่งจะมีผลกับราคาที่ดินหรือไม่ ถึงได้เร่งซื้อเร่งโอนที่ดินกันก่อนที่จะมีมติ ครม.ออกมา นายนิพนธ์ จึงมีพฤติกรรมใช้ข้อมูลภายในจากฐานะรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้เครือญาติกว้านซื้อที่ดินหรือไม่”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่คิดว่าพอมีโครงการพัฒนามาแล้ว ผลประโยชน์จะตกถึงมือชาวบ้าน ข้อมูลการซื้อขายที่ดินบอกเราว่าไม่จริง จากข้อมูลการซื้อขายพบว่า กลุ่มของนายนิพนธ์ซื้อที่ดินจากชาวบ้านไร่ละ 2.5-3 แสนบาท อาจแพงกว่าราคาตลาดประมาณ 1.5-2 เท่า แต่กลุ่มเครือข่ายครอบครัวของนายนิพนธ์สามารถเอาที่ดินไปขายได้ราคาเพิ่มขึ้นถึงไร่ละ 6-8 แสนบาท กินส่วนต่างราคาที่ดิน 2-3 เท่าจากที่ซื้อมาจากชาวบ้าน และถ้าบริษัท TPIPP เอาที่ดินไปพัฒนา เกิดนิคมอุตสาหกรรมได้จริงก็จะสามารถขายที่ดินในนิคมได้ไร่ละ 3 ล้านบาท มูลค่าที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นจากที่ชาวบ้านขายเกิน 10 เท่าตัว และเพื่อให้เห็นภาพ ตนลองคิดจากที่ดินที่เครือข่ายครอบครัวของนายนิพนธ์รับซื้อในเดือน ม.ค. 2563 จำนวน 464 ไร่ มูลค่าที่ดินที่นายนิพนธ์ซื้อทั้งหมดประมาณ 110 ล้านบาท แต่เมื่อนำไปขายให้บริษัท TPIPP จะขายได้ 280 ล้านบาท เครือข่ายนายนิพนธ์กินส่วนต่างราคา 170 ล้านบาท
“นี่แค่เดือนเดียว พื้นที่ 3 ตำบล และถ้าเกิดนิคมอุตสาหกรรม มูลค่าที่ดิน 464 ไร่ ที่ TPIPP รับซื้อมาตรงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,300 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าที่ชาวบ้านขายให้เครือข่ายครอบครัวนายนิพนธ์ 12 เท่าตัว นี่คือแค่ส่วนเดียว ส่วนน้อย ถ้าคิดเขตผังเมืองสีม่วงทั้งหมด ที่เป็นที่ตั้งโครงการจะนะ 16,753 ไร่ จะทำให้มีเม็ดเงินไปอยู่ในกระเป๋าของบริษัท TPIPP ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท นี่แค่เรื่องที่ดินอย่างเดียว ยังไม่รวมโรงไฟฟ้า ยังไม่รวมปิโตรเคมี แต่ต้องอย่าลืมว่ามูลค่าที่ดินที่สูงขึ้นของกลุ่มนายทุนต้องแลกมาด้วยวิถีชีวิต ท้องทะเล สิ่งแวดล้อมของชาวบ้านจะนะ ดังนั้น ประชาชนในพื้นที่ที่ดูอยู่ตอนนี้ ใครที่กำลังคิดจะขายที่ดินของท่านให้กับกลุ่มขบวนการเครือข่ายเหล่านี้ ขอให้ท่านกลับไปดูว่าราคาที่เขาจะซื้อได้ราคาถึง 600,000 บาท เท่ากับที่เขาจะเอาไปขายต่อให้นายทุนหรือไม่ ส่วนที่ท่านขายที่ดินไปแล้วก็ขอให้ท่านตระหนักไว้ด้วยว่ามีเงินมากกว่านี้ที่ควรจะได้ แต่ไปตกอยู่ในกระเป๋าของเครือข่ายครอบครัวนายนิพนธ์”
นอกจากนี้ยังพบมีกรณีการซื้อขายที่ดินอย่างผิดปกติ โดยมีที่ดินแปลงที่ TPIPP รับซื้อจาก 2 คน ที่เป็นเครือญาตินายนิพนธ์ คือ นายวุฒิชัย และนายชัยโรจน์ ในวันที่ 28 ม.ค. 2563 โดยบริษัทรับซื้อที่ดิน น.ส.3 ก.4 แปลง คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งหมด 181 ไร่เศษ จากนายวุฒิชัย ในราคา 105 ล้านบาท และรับซื้อที่ดินราคา น.ส.3 ก.อีก 4 แปลง พื้นที่ไม่น้อยกว่ารวมทั้งหมด 180 ไร่ จากนายนายชัยโรจน์ ในราคา 119 ล้านบาท นั่นแปลว่าในวันเดียว วันที่ 28 ม.ค. บริษัท TPIPP ซื้อที่ดินจาก 2 คนนี้ รวมกันไม่น้อยกว่า 361 ไร่ มูลค่า 226 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 85% ของเงินทั้งหมดที่บริษัทซื้อที่ดินในเดือน ม.ค. 2563 ซึ่งการซื้อที่ดินจาก 2 คนนี้ ถึงจะเป็นที่ดินแปลงใหญ่และมูลค่าสูงกว่าที่รับซื้อกันกับชาวบ้านกว่าเท่าตัวก็คงไม่น่าผิดปกติอะไรมากนัก แต่ที่ผิดปกติคือ ที่ดินแปลงทั้งหมดที่นายวุฒิชัยและนายชัยโรจน์เสนอขายนี้มาจากบริษัท ทาวน์แอนด์ซิตี้ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่นายนิธิกร บุญญามณี ลูกชายนายนิพนธ์ถือหุ้นอยู่ 75 เปอร์เซ็นต์ และนางนิธิยา บุญญามณี ลูกสาวนายนิพนธ์ถือหุ้นอยู่ 17 เปอร์เซ็นต์ โดยนายวุฒิชัย และนายชัยโรจน์ รับซื้อที่ดินมาในวันที่ 24 ม.ค. 2563 ก่อนหน้าที่จะขายให้ TPIPP เพียง 4 วัน เท่านั้น โดยรับซื้อมาในราคารวมกันประมาณ 78 ล้านบาท ผ่านไป 4 วันขาย ได้ 224 ล้านบาท ฟันส่วนต่างเน้นๆ 147 ล้านบาท
“นายวุฒิชัย และชัยโรจน์ มีศักดิ์เครือญาติกับนายนิธิกร และนางนิธิยา เจ้าของบริษัท ทาวน์แอนด์ซิตี้ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด จึงชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่าการออกแบบธุรกรรมแบบนี้เป็นการซื้อขายที่ดินอำพรางหรือไม่ ถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า การกระทำแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการฯ ที่เครือญาติรัฐมนตรีใน ครม.ของท่านมีพฤติกรรมการซื้อขายที่ดินกับกลุ่มทุน โดยปกปิดอำพรางเช่นนี้ เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวต่อว่า หลังจาก ครม.มีมติเดินหน้านิคมอุตสาหกรรมจะนะ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมวันที่ 21 ต.ค. 2562 ซึ่งนายนิพนธ์ก็นั่งอยู่ในที่ประชุมแห่งนั้นด้วย ได้มีมติให้สำนักงานที่ดิน จ.สงขลา อ.จะนะ, อ. เทพา, อ.นาทวี สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สนับสนุนการออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกินให้กับประชาชนเป็นการเร่งด่วน หลังมติ กพต.ออกมา นายนิพนธ์ก็รับลูกอย่างรวดเร็ว ผ่าน “ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.สงขลา-นครศรีธรรมราช” เร่งดำเนินการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ โดยในปี 2563 งบฯ ของศูนย์ดังกล่าว อนุมัติเฉพาะ 4 ตำบล ต.นาทับ, ตลิ่งชัน, ป่าชิง, บ้านนา ซึ่งที่อยู่ในเขตสีม่วงทั้งหมด ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะ จ.สงขลามี 16 อำเภอ มีเพียง 4 อำเภอที่อยู่ในโครงการสำรวจออกโฉนด อ.จะนะมี 14 ตำบล มีเพียง 4 ตำบล ที่เป็นพื้นที่นิคมฯ ที่เป็นเป้าหมายการเดินสำรวจ ที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็เพราะประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ลงนามโดยนายนิพนธ์ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมที่ดิน น.ส.3 ก.ให้บริษัท TPIPP ไปออกโฉนดหรือไม่
“การออกโฉนดที่ดินขนานใหญ่ของกรมที่ดิน บังเอิญเสียเหลือเกินที่เกิดพร้อมกับกลุ่มเครือข่ายเครือญาตินายนิพนธ์ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทาวน์แอนด์ซิตี้ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ของลูกนายนิพนธ์, นายวุฒิชัย, นายชัยโรจน์ และนายสิรภพ ซึ่งทำการไล่รวบรวมซื้อเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.จากชาวบ้าน และบังเอิญอีกเช่นเดียวกันที่มีที่ดิน น.ส.3 ก.จำนวนมากถูกออกเป็นโฉนดโดย TPIPP อย่างพอดิบพอดีกัน เป็นการไปเน้นออกโฉนดให้กลุ่มทุนแต่ละเลยไม่เหลียวแล ส.ค.1, น.ส.3 ก. ของชาวบ้านที่รอออกโฉนดมากว่า 70 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มเครือญาตินายนิพนธ์ได้รวบรวมเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.แล้วไปขายต่อให้บริษัท TPIPP เพื่อออกโฉนดที่ดิน และการออกโฉนดที่ดินต้องมีการรับรองจากเจ้าพนักงานที่ดิน จ.สงขลา สาขาจะนะ ซึ่งดูเหมือนว่าการรังวัดออกโฉนดที่ดินของบริษัท TPIPP ที่กลุ่มเครือญาตินายนิพนธ์เป็นนายหน้าให้นั้นจะได้รับความสะดวกมากผิดปกติจากเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งผมต้องให้หมายเหตุด้วยว่า มีการย้ายเจ้าพนักงานที่ดินสงขลา สาขาจะนะ ในช่วงเดือน เม.ย. 2563 ชาวบ้านในพื้นที่ครหาว่าคนที่ย้ายมาใหม่ซึ่งเซ็นออกเอกสารสิทธิที่ชาวบ้านคัดค้านกันอยู่ที่ศาลตอนนี้ มีความสนิทใกล้ชิดกับนายนิพนธ์”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวว่า เครือข่ายผลประโยชน์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงทำมาหากินกับนโยบายและการใช้อำนาจรัฐออกโฉนดที่ดิน ยังมีหลายกรณีที่ไปออกโฉนดที่ดินทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน หรือที่เรียกกันว่าออกโฉนดทับ และยังมีการใช้อิทธิพลข่มขู่กดดันให้ชาวบ้านทำข้อตกลงขายที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กรณีของนายสุวีต โสะหนิ ที่ถูกเครือข่ายนายนิพนธ์ทำสัญญาความตกลงขายสิทธิเหนือที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งได้มีการฟ้องคดีในศาลไปแล้ว เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนายสุวีดทำกินบนที่ดิน 36 ไร่ ในหมู่ที่ 3 ต.ตลิ่งชัน ที่ดินแปลงนี้ได้รับตกทอดมาจากบิดา โดยเป็นที่ดินบุกเบิกมาตั้งแต่รุ่นทวด ต่อมานายสุวีดพบว่าที่ทำกินตน ถูกออกเอกสารสิทธิ์ทับ เป็น น.ส.3 ก.3 ฉบับ ซึ่งได้มีการร้องคัดค้าน เรื่องอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ แต่ต่อมาเมื่อมีโครงการเกิดขบวนการนายหน้าซื้อที่ดินเพื่อขายต่อให้ TPIPP นายสุวีดพบว่ามีคนมารังวัดที่ดินออกโฉนดในชื่อ “บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด” ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบดูเส้นทางการเปลี่ยนมือ พบว่าเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ก่อนออกเป็นโฉนดของที่ดินทั้ง 3 แปลง มีความเกี่ยวข้องบุคคลในเครือข่ายนายนิพนธ์ โดยที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 304 และ 305 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของเป็นนายวุฒิชัยก่อนนำไปขายต่อให้บริษัท ส่วนที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 7215 ก็มีนายชัยโรจน์เป็นนายหน้าให้ TPIPP โดยนายสุวีดได้ไปร้องคัดค้านกับสำนักงานที่ดิน จ.สงขลา สาขาจะนะ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยื่นคัดค้านได้เพราะเอกสารบันทึกข้อตกลงถอนคัดค้านรังวัดออกโฉนดที่ดิน สัญญารับเงิน ที่นายสุวีดไปเซ็นไว้กับนายชัยโรจน์ มีสาระสำคัญมี 3 เรื่อง คือ ให้นายชัยโรจน์จ่ายเงิน 200,000 บาท และจะชำระเงินเพิ่มเติมอีก 773,965 บาท เมื่อนายสุวีดถอนคำคัดค้านออกจากที่ดินทุกแปลง หากนายสุวีดทำการรังวัดเนื้อที่ดินตามการครอบครองที่ดินได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นหรือมากขึ้น ต้องดำเนินการขายสิทธิการครอบครองให้แก่นายชัยโรจน์ ในราคาไร่ละ 60,000 บาทแต่เพียงผู้เดียว แต่จากเอกสารที่ดินที่บริษัท TPIPP รับซื้อจากกลุ่มนายหน้าคือ 600,000 บาทต่อไร่ กลุ่มของนายนิพนธ์ฟันส่วนต่างกันเป็น 10 เท่า ซึ่งจากที่รับฟังมา นายสุวีดบอกว่าถูกหลอกให้เซ็นเอกสารฉบับนี้เพราะเข้าใจว่าที่ให้เซ็นคือการซื้อขายที่ดินแค่ 16 ไร่ แต่เมื่อเซ็นไปแล้ว กลับเป็นการขายสิทธิการครอบครองที่ดิน ทั้ง 36 ไร่”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวอีกว่า ตนได้ข้อมูลมาว่าในการตกลงซื้อขายที่ดินในครั้งนั้นมีการเรียกชาวบ้านไปเคลียร์ที่บ้านของนายนิพนธ์ เพื่อให้นายสุวีดและชาวบ้านอีกหลายคนยอมขายสิทธิครอบครองที่ดินในราคาถูก เรื่องนี้นายนิพนธ์กล้ายืนยันหรือไม่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งนี้ เรื่องกฎหมายก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่ในฐานะนักการเมือง การที่คนใกล้ชิดของท่านมีพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนแบบนี้ เหมาะสมกับจริยธรรมนักการเมืองหรือไม่
“กรณีนี้ไม่ใช่กรณีเดียวที่มีปัญหา มีที่ร้องเรียนอีกหลายเรื่องว่าเจ้าหน้าที่ที่ดิน จ.สงขลา ออกโฉนดทับที่ดินชาวบ้าน และเขาลือกันว่าที่ดิน จ.สงขลา เป็นคนสนิทชิดเชื้อนายนิพนธ์ นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเอกชนกับเอกชน และอย่าอ้างว่านี่ไม่ใช่เรื่องของนายนิพนธ์ เพราะว่าในการซื้อขายที่ดินครั้งนี้กลุ่มเครือข่ายเครือญาติครอบครัวของนายนิพนธ์ มีการเร่งรัดโอนที่ดินก่อนวันที่ 21 ม.ค. ที่ ครม.มีมติให้เปลี่ยนสีผังเมือง พฤติกรรมแบบนี้คือการทุจริต เอาข้อมูลภายในคณะรัฐมนตรีมาให้เครือข่ายครอบครัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่”
นายประเสริฐพงษ์กล่าวว่า การใช้อำนาจของนายนิพนธ์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน เครือญาติตลอดกระบวนการ ท่านจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ เบื้องหลังจะนะมีผลประโยชน์มหาศาล เกี่ยวพันกันทั้งกลุ่มทุน นักการเมือง และนายหน้าค้าที่ดิน TPIPP ลงทุนไปแล้วหลายพันล้านบาท จากข่าวที่ได้มาบอกว่ามีการกว้านซื้อที่ดินไปแล้วกว่า 20,000 ไร่ ปีที่แล้วมีการออกหุ้นกู้เพื่อซื้อที่ดินจะนะ 4,000 ล้านบาท นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลทหารที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายทุนต้องดันโครงการให้เกิด แม้จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นก็แค่เวทีรับฟังความคิดเห็นอัปยศ นี่คือโครงการที่นายทุนคิด ทหารดัน นักการเมืองหาประโยชน์
“นายนิพนธ์ในฐานะ รมช.มหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน แต่กลับมีเครือญาติเป็นนายหน้าค้าที่ดินในพื้นที่ที่ตัวเองผลักดันโครงการ และร่วมออกมติ ครม.ผลักดัน มีการออกนโยบาย และใช้อำนาจในทางบริหารเร่งรัดออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ ใช้ข้อมูลภายในในฐานะรัฐมนตรี ร่วมคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติดำเนินโครงการ เอื้อประโยชน์ให้เครือญาติกว้านซื้อที่ดิน รวมทั้งรู้เห็นเป็นใจให้ญาติสนิทที่เป็นเครือข่ายตนใช้อิทธิพลทำข้อตกลงขายที่ดินในราคาไม่เป็นธรรม รวมทั้งบังคับ ข่มขู่ กดดันให้ชาวบ้านยอมขายสิทธิเหนือที่ดินทำกินในราคาถูก ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจให้นายนิพนธ์ต่อไปได้ รวมถึงไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้มีประวัติที่ไม่โปร่งใส ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีเรื่องร้องเรียนอยู่ใน ป.ป.ช.นับ 10 คดี แต่ท่านก็ยังแต่งตั้งคนคนนี้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อีกทั้งในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และประธาน ศอ.บต. ท่านยังเป็นคนผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษจะนะ ที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนและเครือข่ายของนายนิพนธ์มหาศาล ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเช่นเดียวกัน และก็เชื่อว่าพี่น้องชาวจะนะ และประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็ไม่ไว้วางใจท่านเช่นเดียวกัน” นายประเสริฐกล่าวทิ้งท้าย