โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรียึดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรม สำหรับทุกกลุ่ม แบ่งฉีดเป็น 3 ระยะตามมาตรฐานสากล
วันนี้ (31 ม.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระโหม มอบแนวทางเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนโควิด-19 ยึดหลักให้มีการกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจะบริหารแผนการฉีดวัคซีน และกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามประเมินผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรียังวอนให้คนไทย “ตั้งการ์ดสูง” และยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัด
ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 2/2564 ได้มีการรายงานลำดับกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว 6 โรคกำหนด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย
ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด-19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศ และระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนปฏิบัติงานในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแต่ละกลุ่มในรายละเอียด รวมทั้งการขนย้าย การขนส่ง และการจัดเก็บวัคซีนเพื่อรักษาประสิทธิภาพวัคซีน ขณะเดียวกัน ได้มอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย
อนึ่ง รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์ ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัท ไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิต เพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร